KTIS เผยรายได้สายธุรกิจชีวภาพเพิ่มขึ้นตามแผน โดยมีสัดส่วนเกือบ 40% ของรายได้ทั้งหมดแล้ว และยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำตาลตลาดโลกที่ส่งผลต่อรายได้และกำไรในสายธุรกิจน้ำตาลทราย คาดปีนี้รายได้สายธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลโตเกิน 20% เพราะประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตไฟสูงขึ้น ดูได้จาก 6 เดือนแรก ปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 22.5% และมีรายได้เพิ่มขึ้น 23.5%
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ได้ดำเนินไปตามแผนกลยุทธ์ในการดำเนินงาน ที่มุ่งเพิ่มรายได้จากสายธุรกิจชีวภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นสูงและมีความผันผวนของรายได้ต่ำกว่าสายธุรกิจน้ำตาลทรายที่ผันผวนตามราคาน้ำตาลตลาดโลก ดังจะเห็นได้ว่าในรอบครึ่งปีแรกของงบการเงินปี 2562 (ตุลาคม 2561 – มีนาคม 2562) สัดส่วนรายได้เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน สายธุรกิจชีวภาพขยับเพิ่มขึ้นจาก35.8% เป็น 39.2% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และในอนาคตก็มีโอกาสที่รายได้จากสายธุรกิจชีวภาพจะสูงกว่าสายธุรกิจน้ำตาล
ทั้งนี้ สายธุรกิจชีวภาพซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ธุรกิจผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล และธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษชานอ้อย ล้วนมีศักยภาพในการเติบโตที่ดี โดยในช่วง 6 เดือนแรกของรอบบัญชี 2562 การจำหน่ายเอทานอล มีปริมาณสูงถึง 40.2 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจาก 30.0 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้น 34.1% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนการจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงชานอ้อยและใบอ้อยสามารถขายได้ 201,845 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจาก 164,832 เมกะวัตต์หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 22.5% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน
“ปริมาณการจำหน่ายเอทานอลและพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมากดังกล่าว ทำให้รายได้จากการขายเอทานอลเพิ่มขึ้น21.4% และรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 23.5% สำหรับครึ่งปีแรกของรอบบัญชีสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2562 และมั่นใจว่า 2 สายธุรกิจนี้จะสร้างรายได้ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันนี้ การผลิตเอทานอลนั้นได้ดำเนินการผลิตเต็มกำลังอยู่แล้ว แต่ในส่วนธุรกิจไฟฟ้ายังมีแนวโน้มที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพให้สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายได้มากขึ้น จึงเชื่อว่าในรอบบัญชีปี 2562 นี้ รายได้จากสายธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะสูงขึ้นกว่าปี 2561ไม่น้อยกว่า 20%”
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงทุนเพิ่มเติมในสายธุรกิจชีวภาพ โดยได้มีการร่วมลงทุนในโครงการโรงงานผลิตภาชนะบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อย กับ บริษัท ยูเรเซีย ไลท์ อินดัสตรี อีควิปเม้นท์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตภาชนะบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อย อีกทั้งยังเป็นผู้จัดจำหน่ายภาชนะบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อยรายใหญ่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อว่า บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ แพ็คเกจจิ้ง จำกัด โดย บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด (บริษัทย่อยที่ถือหุ้นโดย KTIS 100%) จะถือหุ้น 85% และบริษัทยูเรเซียฯ จะถือหุ้น 15% ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่จะทำรายได้และผลกำไรให้กลุ่ม KTIS ได้อย่างมากต่อไป
Comments
comments