คุณภาพอากาศกรุงเทพฯ ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน ด้วยมาตรฐานสถาปัตยกรรม LEED และ WELL
จากวิกฤตมลพิษฝุ่นละอองอนุภาคขนาดเล็ก ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่ปกคลุมทั่วกรุงเทพฯ และหลายจังหวัดในประเทศไทย ส่งผลให้คนไทยใส่ใจต่อความสำคัญของอากาศบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก การแก้ไขในระยะยาวเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรร่วมกันดำเนินการ
จากผลสำรวจของนีลเส็น ประเทศไทย (Nielsen Thailand) ร่วมกับ เดอะ ปาร์ค (The PARQ ) โครงการที่พัฒนาโดยบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด และบริหารงานโดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) ในหัวข้อเทรนด์ล่าสุดของชาวออฟฟิศเมืองกรุง เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าคุณภาพอากาศในอาคารที่ย่ำแย่คือปัจจัยหลักที่เหล่าพนักงานออฟฟิศกังวล โดยปัจจัยสำคัญที่คนกรุงฯ ลงความเห็นว่ามีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิต คือ คุณภาพอากาศในอาคารที่ดี (64%) ตามด้วยการเข้าถึงแสงธรรมชาติและสามารถมองเห็นวิวภายนอกอาคารได้ (45%) และการมีพื้นที่สีเขียวสำคัญเป็นอันดับ 3 (40%)
ผลสำรวจยังพบอีกว่าพนักงานออฟฟิศในกรุงเทพฯ กว่า 90% ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในอาคาร ดังนั้นอาคารจึงต้องมีสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีและเอื้อต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทยจึงหันมาใส่ใจการสร้างสถาปัตยกรรมยั่งยืนและอาคารสีเขียว ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารระดับสากล อย่าง LEED และ WELL มากขึ้น เป็นการมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ที่มาพร้อมกับอากาศที่บริสุทธิ์ในอาคารนั่นเอง
LEED และ WELL มาตรฐานอาคารที่ใส่ใจผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
มาตรฐานอาคาร LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) คือมาตรฐานอาคารสีเขียวที่ได้รับการยอมรับระดับสากลและนิยมไปทั่วโลก เป็นมาตรฐานที่มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์อย่างยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เช่น การใช้นวัตกรรมวัสดุก่อสร้างซึ่งเน้นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงาน การลดการปล่อยมลภาวะ และการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับบริบททางสังคมปัจจุบันที่หลายบริษัทต่างกำลังมองหาพื้นที่สำนักงานระดับคุณภาพ เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตในองค์กร และยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคลากรให้สูงขึ้น
มาตรฐานอาคาร WELL บุกเบิกวงการสถาปัตยกรรมด้วยการเป็นมาตรฐานอาคารที่มอบคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นให้ผู้ใช้อาคาร ด้วยการปฏิวัติแนวคิดและการออกแบบอาคารสมัยใหม่เต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงระบบระบายอากาศและแสงสว่าง เน้นบูรณาการแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการก่อสร้างและการออกแบบ เข้ากับการวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของผู้คน ข้อมูลของ Global Wellness Institute (GWI) เมื่อปี พ.ศ. 2560 เปิดเผยว่าในภาพรวมทั่วโลก พื้นที่ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนกับ WELL แล้วนั้นมีมากกว่า 224 ล้านตารางฟุต สะท้อนถึงกระแสสุขภาพที่กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่องในระดับสากล
มาตรฐาน WELL ได้รับการรับรองจากสถาบันระดับสากล International Well Building Institute (IWBI) ส่วนมาตรฐาน LEED นั้นได้รับการรับรองโดยสภาอาคารเขียวแห่งสหรัฐอเมริกา (US Green Building Council) ซึ่งทั้งสองมาตรฐานนั้นมีหลายระดับ โดยข้อมูลจาก GBIG เผยว่ามีอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเพียง 20 โครงการเท่านั้นที่ได้รับการรับรองระดับสูงสุด LEED Platinum แม้ว่าจะยังมีไม่มาก แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา การยื่น
จดทะเบียนอาคารที่ได้การรับรองมาตรฐาน LEED ในไทยนั้นพุ่งสูงขึ้นถึง 70% เลยทีเดียว
ความคืบหน้าของสถาปัตยกรรมสีเขียวในกรุงเทพฯ
โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการรับรองทั้ง LEED และ WELL ในประเทศไทยนั้นไม่เพียงแค่ผลักดันมาตรฐานใหม่ในการใช้ชีวิตและการทำงานเท่านั้น แต่ยังโดดเด่นด้วยบริการสมาร์ทเซอร์วิสแบบครบวงจร เช่น บริการน้ำดื่มกรองที่สะอาดปลอดภัยในอาคาร มีแสงธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แสงสะท้อนต่ำช่วยลดความล้าของสายตา เสริมประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก บริการเพื่อสุขภาพต่างๆ ศูนย์อาหารที่มีตัวเลือกหลากหลาย สปาและยิม รวมไปถึงนิทรรศการศิลปะ และพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
โครงการเดอะ ปาร์ค (The PARQ ) จึงมุ่งที่จะเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกในประเทศไทยที่เพียบพร้อมด้วยมาตรฐาน LEED และ WELL ควบคู่กัน ตัวโครงการตั้งอยู่บนทำเลทอง ติดกับศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และยังเชื่อมต่อกับสถานี MRTสถานีศูนย์สิริกิติ์และสวนเบญจกิติ ถือเป็นย่านที่มีศักยภาพบนระเบียงนวัตกรรม (Innovation Corridor) เส้นพระรามสี่ โครงการเดอะ ปาร์ค (The PARQ ) จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอาคารสำนักงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนวัยทำงานที่ต้องการความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว สอดรับกับแนวคิดของโครงการ “Life Well Balanced” อย่างลงตัว
ภายในโครงการ The PARQ (เดอะ ปาร์ค) จะติดตั้งระบบกรองอากาศประสิทธิภาพสูง ควบคุมจุลินทรีย์และเชื้อรา เพื่อให้คุณภาพอากาศภายในอาคารนั้นคงที่ ที่ประตูทางเข้าทั้ง 6 จุดมีระบบความดันอากาศเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากอากาศภายนอกอาคาร พร้อมระบบเซ็นเซอร์ที่คอยตรวจสอบและควบคุมแรงดันอากาศ เพื่อให้อากาศไหลเวียนและถ่ายเทอย่างสม่ำเสมอ ผลของการเป็นอาคารอนุรักษ์พลังงานนั้นส่งผลกระทบออกไปในวงกว้าง ทั้งทำให้คุณภาพอากาศในเมืองดีขึ้น ลดการปล่อยความร้อน และบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดจากการก่อสร้างเฟสต่าง ๆ เมื่อมองในมุมของผู้เช่าอาคาร นอกจากคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นแล้ว มีผลดีอีกมากมายที่ได้จากอาคารประหยัดพลังงาน สมาร์ทเซอร์วิสแบบครบวงจร และบริการต่าง ๆ เช่น สถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า บริการน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่สีเขียว ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนช่วยลดค่าดำเนินการของผู้ประกอบการ รวมถึงดึงดูดบุคลากรใหม่ ๆ และรักษาบุคลากรที่มีค่าไว้กับองค์กรได้นานขึ้นอีกด้วย
การออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างยั่งยืนของโครงการเดอะ ปาร์ค (The PARQ ) ที่สร้างขึ้นตามมาตรฐานอาคารจากทั้ง LEED และ WELL จึงมีศักยภาพในการดึงดูดบริษัทชั้นนำ เพื่อร่วมผลักดันกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ในภูมิภาคอาเซียนต่อไป