7 ความต่างที่ทำให้ SHS ใน JAECOO 7 SHS คือมิติใหม่แห่งเทคโนโลยียานยนต์ที่ทุกคนรอคอย
OMODA & JAECOO ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก เตรียมเปิดตัว JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) ยนตรกรรม Plug-in Hybrid “Super HEV + EV” รุ่นล่าสุด ที่จะมาเปลี่ยนโฉมหน้าวงการยานยนต์ไทย ด้วยการผสานจุดเด่นของรถยนต์ไฮบริดและรถไฟฟ้าอย่างลงตัว
Super Hybrid System: เทคโนโลยีแห่งอนาคตของวงการยานยนต์
SHS หรือ Super Hybrid System คือนวัตกรรมล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีไฮบริดเจเนอเรชั่นที่ 3 ของ Chery Automobile เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยานยนต์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของรถปลั๊กอินไฮบริดแบบดั้งเดิม ด้วยการปรับปรุงเสถียรภาพของระบบ ทำให้การสลับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าราบรื่นไร้รอยต่อ ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์การขับขี่ที่ปราศจากมลพิษ เสียงรบกวนต่ำ และการเร่งความเร็วที่นุ่มนวลเหมือนรถไฟฟ้า ในขณะเดียวกันก็ได้รับข้อดีในเรื่องระยะทางการขับขี่ที่ยาวไกลและความสะดวกในการเติมน้ำมันของรถยนต์ไฮบริด
7 ความต่างที่เป็นหัวใจของ JAECOO 7 SHS
JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) มีส่วนประกอบหลักที่ทำงานประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ โดยเครื่องยนต์ 1.5TDGI เจเนอเรชั่นที่ 5 ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก Chery Automobile, ระบบซูเปอร์อิเล็กทริกไฮบริด DHT (Super Electric Hybrid DHT System), และแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรถยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับใน 7 ด้าน ได้แก่
- เครื่องยนต์ 5TDGI เจเนอเรชั่นที่ 5 ประสิทธิภาพสูง
เครื่องยนต์นี้เป็นหนึ่งในผลงานการพัฒนาล่าสุดของ Chery Automobile ที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพเชิงความร้อนสูง (Thermal Efficiency) และอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำ สามารถปรับการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่แบบเรียลไทม์ ทำให้น้ำมันทุกหยดถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด
- ระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง
มาพร้อมระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เครื่องยนต์ยังคงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแม้ในสภาวะการใช้งานหนัก
- ระบบซูเปอร์อิเล็กทริกไฮบริด DHT (Super Electric Hybrid DHT System)
ทำให้การทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างราบรื่นไร้รอยต่อ มอบประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือชั้นด้วยพละกำลังอันทรงพลัง สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 120 กม./ชม. หากมีแบตเตอรี่มากกว่า 25%
- ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันสูง
มาพร้อมอัตราการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม มากกว่า 21.28 กิโลเมตรต่อลิตร ทำให้ JAECOO 7 SHS มีสมรรถนะเทียบเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันแต่ประหยัดพลังงานและลดการใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงพร้อมระบบความปลอดภัยรอบด้าน
แบตเตอรี่ของ JAECOO 7 SHS มีความปลอดภัยสูงด้วยระบบป้องกันแบตเตอรี่รอบด้าน ทั้งการทนทานต่อความร้อน แรงกระแทก และกันน้ำ พร้อมระบบป้องกันด้วยการปิดเครื่องภายใน 0.002 วินาทีหลังเกิดการชน ช่วยตัดแหล่งจ่ายไฟได้อย่างรวดเร็วเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- ความสามารถในการจ่ายพลังงานภายนอก (V2L)
แบตเตอรี่ยังสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่ได้ในกรณีฉุกเฉิน ด้วยความสามารถในการปล่อยประจุไฟฟ้าภายนอกได้ 3.3 กิโลวัตต์ รองรับการใช้งานที่หลากหลาย
- ระยะทางขับขี่ที่ไปได้ไกลกว่า
ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ JAECOO 7 SHS มอบสมรรถนะและระยะทางการขับขี่ที่ไกลกว่า 1,300 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) โดยที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน 106 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)
สมรรถนะเหนือชั้นที่พลิกโฉมวงการยานยนต์
ด้วยการผสานการทำงานของทั้ง 3 ระบบหลักนี้ JAECOO 7 SHS จึงสามารถมอบสมรรถนะที่น่าทึ่ง:
- พละกำลังสูงสุด: 347 แรงม้า (HP)
- แรงบิดสูงสุด: 525 นิวตัน-เมตร
- ระยะทางขับขี่รวม: มากกว่า 1,300 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)
- ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วน: 106 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)
JAECOO 7 SHS จึงเป็นมากกว่ารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทั่วไป แต่เป็นยนตรกรรมที่มอบเสน่ห์ของการขับขี่ทั้ง 2 รูปแบบ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ขับขี่ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองที่ต้องการความเงียบและการประหยัดพลังงาน หรือการเดินทางไกลที่ต้องการระยะทางและสมรรถนะที่ทรงพลัง
พบกับ JAECOO 7 SHS เร็ว ๆ นี้
เตรียมพบกับการเปิดตัว JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการได้ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 46 วันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 นี้ ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3
การเปิดตัว JAECOO 7 SHS ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีของ OMODA & JAECOO เท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการเดินทางสมัยใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ถือเป็นอีกก้าวสำคัญสู่อนาคตของวงการยานยนต์ที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือความคาดหมายแก่ผู้บริโภคอย่างแท้จริง