ลอรีอัล เดินหน้าสู่ความงามแห่งอนาคต ชูวิจัยหลักวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อมเต็มรูปแบบ
ด้วยสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ทวีรุนแรงมากขึ้น การทำงานด้านความยั่งยืนได้กลายเป็นหัวข้อที่ภาคธุรกิจทุกอุตสาหกรรมให้ความสำคัญและช่วยกันเร่งพัฒนาการดำเนินธุรกิจเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยงานด้านการวิจัยและคิดค้นนวัตกรรมเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยตอบโจทย์การพัฒนาด้านความยั่งยืนในระยะยาว และวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Sciences ก็นับเป็นหนึ่งในปรัชญาที่มีการนำมาปรับใช้ในกระบวนการวิจัยและออกแบบผลิตภัณฑ์ในทุกอุตสาหกรรมเพื่อลดการใช้หรือสังเคราะห์สารที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ลอรีอัล กรุ๊ป ในฐานะบริษัทความงามอันดับหนึ่งของโลก ได้ให้ความสำคัญด้านการวิจัย และมีการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ มากมายอย่างไม่หยุดนิ่งเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมและเป็นผู้นำด้าน Beauty Tech โดยในด้านความยั่งยืน ลอรีอัล กรุ๊ป ได้นำปรัชญา Green Sciences มาใช้ในการวิจัยสูตรผลิตภัณฑ์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนสำหรับปี 2030 ภายใต้พันธสัญญา “L’ORÉAL FOR THE FUTURE” ที่มุ่งยกระดับเร่งการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโดยคำนึงถึงขีดจำกัดความปลอดภัยของโลกเป็นที่ตั้ง เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมโลก
ปัจจุบัน ลอรีอัล กรุ๊ป มีทีมนักวิจัยกว่า 4,000 คนที่ประจำอยู่ในศูนย์วิจัยทั้ง 7 แห่งในประเทศฝรั่งเศส, สหรัฐอเมริกา บราซิล แอฟริกาใต้ อินเดีย จีน และญี่ปุ่น ที่พร้อมจะช่วยกันผลักดันขอบเขตของวิทยาศาสตร์ไปข้างหน้าเพื่อสร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลก บนพื้นฐานของ Green Sciences ซึ่งนอกจากจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังจะช่วยให้สามารถพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย
ลอรีอัล กรุ๊ป มีเป้าหมายสำหรับการปฏิวัติวงการความงามทั้งหมด 2 ข้อ ได้แก่
- สร้างสรรค์ความงามที่ปลอดภัย และเคารพในความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศทั้งหมดในทุกกระบวนการตั้งแต่การหาวัตถุดิบไปจนถึงบรรจุภัณฑ์
- สำรวจขอบเขตของหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งมีพื้นฐานมาจากธรรมชาติที่กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาสูตรหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป จึงมุ่งเน้นไปที่การวิจัยทั้งหมด 4 หลักการ ได้แก่
- พืชศาสตร์ 0 (Agronomy 2.0) การใช้เทคโนโลยีเพื่อปลูกต้นไม้อย่างยั่งยืน เพื่อจะได้ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและรับประกันผลผลิต โดยที่ไม่ทำให้ทรัพยากรของโลกลดลง
- การหมัก และเทคโนโลยีชีวภาพ (Fermentation and Biotechnology) การใช้สิ่งมีชีวิต เช่น พืช หรือแบคทีเรียในการทำหน้าที่เป็น “โรงงานขนาดจิ๋ว” เพื่อสร้างส่วนผสมใหม่ๆ เช่น การใช้แพลงตอนทะเลสำหรับสารสกัดในผลิตภัณฑ์ ELIXIR LIVE PLANCTON ของไบโอเธิร์มในการฟื้นฟูผิว
- การสกัดวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Extraction) ซึ่งช่วยในการสกัดโมเลกุลที่มีส่วนผสมสำคัญ (Active Ingredient) มากที่สุดจากพืชได้โดยตรง
- เคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Chemistry) การใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตัวทำละลายที่ไม่ใช่ปิโตรเคมีในขั้นตอนการผลิตผลิตภัณฑ์
หนึ่งในส่วนผสมสำคัญ (Active Ingredient) ที่คิดค้นสำเร็จโดยทีมวิจัยและนวัตกรรมของลอรีอัล คือ Pro-Xylane ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูผิวด้วยการกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์สารไกลโคสะมิโนไกลตามธรรมชาติให้มากขึ้น ช่วยลดเรือนริ้วรอยแห่งวัย และช่วยให้สภาพผิวมีความแข็งแรงขึ้น โดยทีมวิจัยได้ใช้เวลาปรับปรุงและพัฒนาส่วนผสมนี้มายาวนานกว่า 20 ปี จนทำให้ Pro-Xylane ได้รับการจดสิทธิบัตรในฐานะส่วนผสมสำคัญที่ช่วยเรื่องการชะลอวัย (Anti-aging) และสอดคล้องกับหลัก Green Sciences มากขึ้นด้วยกระบวนการผลิตที่มาผลิตจากต้นบีชวู้ดและต้นเบิร์ชซึ่งพบได้ตามธรรมชาติ
นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงการ L’ORÉAL FOR THE FUTURE ลอรีอัล กรุ๊ป ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้สูตรสำหรับทุกผลิตภัณฑ์นั้นเป็นมิตรต่อทุกระบบนิเวศมากขึ้น โดยเฉพาะระบบนิเวศทางน้ำ รวมไปถึงการตั้งเป้าให้ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 95% มาจากพืชหรือแร่ธาตุที่มีมากมายทดแทนได้ โดยภายในปีแรกของโครงการฯ ในปี 2021 ลอรีอัล กรุ๊ป สามารถบรรลุเป้าหมายให้ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์มาจากพืชหรือแร่ธาตุที่มีมากมายทดแทนได้แล้วถึง 60%
อ้างอิงจากข้อมูล ลอรีอัล กรุ๊ป ในปี 2021 บริษัทฯ มีการใช้งบประมาณกว่า 1 พันล้านยูโรสำหรับการค้นคว้าวิจัยโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่จำนวน 360 โครงการ การเปิดตัวสูตรกว่า 6,900 สูตรในท้องตลาด และการยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตรทั้งหมด 510 ฉบับ ซึ่งเป็นการแสดงความเป็นแนวหน้าในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ รวมไปถึงความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอความงามแก่ผู้บริโภคโดยรับผิดชอบต่อธรรมชาติ รวมไปถึงการต่อยอดศักยภาพของธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน