บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย คว้า 2 รางวัลใหญ่จากเวที “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2565”
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียมไทยอย่างต่อเนื่องจากการคว้ารางวัลใหญ่ล่าสุดจากเวที “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2565” (Product Innovation Awards 2022) ประเภทผลิตภัณฑ์กลุ่มยานยนต์ โดยในปีนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย คว้ารางวัลมาครองได้ทั้งหมด 2 รางวัล ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive20d M Sport กับรางวัลรถยนต์อเนกประสงค์หรูหราระดับต้น และมินิ คูเปอร์ เอสอี กับรางวัลรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมระดับต้น รางวัลดังกล่าวสะท้อนแนวทางการดำเนินงานของบริษัทในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุด พร้อมการส่งมอบนวัตกรรมยานยนต์ล้ำสมัยเพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง นอกจากนี้ รางวัล “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2565” ยังเป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นถึงความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค ซึ่งรวมถึงตัววัดผลด้านความพึงพอใจของลูกค้า หรือ NPS Score ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยบีเอ็มดับเบิลยูยังคงยึดหลักการให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมนำเสนอยนตรกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการผสานนวัตกรรมทางดิจิทัลในการให้บริการ เพื่อเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและหลากหลายให้แก่ลูกค้า ที่สำคัญ ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม
รางวัล “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2565” เป็นรางวัลซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างนิตยสาร Business+ ในเครือบริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) และวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อมอบรางวัลแห่งความสำเร็จให้กับแบรนด์ที่สามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการจนเกิดเป็นนวัตกรรม สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ โดยมีการคัดเลือกทั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิและการโหวตจากผู้บริโภครวม 28 รางวัล ใน 10 ประเภทสินค้าและบริการ โดยรางวัลที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้รับนั้นพิสูจน์ให้ถึงความนิยมของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์ทั้งสองรุ่นเป็นอย่างดี
สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive20d M Sport เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ SAV มาพร้อมกับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ผสานกับประสิทธิภาพและความอเนกประสงค์ที่ดีที่สุด โดยรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าที่วัยรุ่นที่มีความทันสมัยและกระตือรือร้น เพียบพร้อมด้วยด้วยประสิทธิภาพเหนือระดับกว่ารถยนต์ทุกคันในประเภทเดียวกัน ผสานความพึงพอใจในการขับขี่จากบีเอ็มดับเบิลยูซึ่งขึ้นชื่อด้านฟังก์ชันการใช้งานที่โดดเด่นและเทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยลักษณะเฉพาะของการขับขี่ที่แตกต่าง ระบบสาระบันเทิงที่ครบครัน และการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดกับ BMW ConnectedDrive ซึ่งได้รับการอัปเดตล่าสุด จึงทำให้บีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive20d M Sport ครองความเป็นผู้นำในตลาดมาได้อย่างต่อเนื่อง
บีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive20d M Sport ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ส่งกำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที โดดเด่นด้วยพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางและที่เก็บสัมภาระความจุ 505 ลิตรซึ่งสามารถขยายได้มากถึง 1,550 ลิตร จอแสดงผล Control Display ขนาด 10.25 นิ้ว สามารถควบคุมผ่านปุ่ม BMW iDrive ระบบสั่งงานด้วยเสียงหรือจอระบบสัมผัส
ส่วน มินิ คูเปอร์ เอสอี ได้ผสมผสานความรู้สึกโกคาร์ทในตำนานเข้ากับการออกแบบที่โดดเด่น มอบคุณภาพระดับพรีเมียมที่มาพร้อมกับการขับขี่แบบไร้มลพิษ จากแนวคิดผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าผู้ขับขี่รถยนต์มินิทั้งชายและหญิงส่วนใหญ่มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนใหญ่ของผู้ขับขี่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย นอกเหนือจากการขับขี่ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์แล้ว ประสบการณ์ของผู้ขับขี่ในการใช้จอแสดงผลและระบบควบคุมนวัตกรรมในรถยนต์มินิ ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสนุกในการขับขี่ตามแบบฉบับของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อมต่ออย่างราบรื่นกับสมาร์ทโฟนยังช่วยให้ลูกค้ามินิสามารถใช้ชีวิตแบบดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบในระหว่างการขับรถ ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้า มินิคูเปอร์ เอสอี เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองแชมป์ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้ากลุ่มพรีเมียม PHEV และ BEV ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกว่า 32.9% ในปีที่ผ่านมา
มินิ คูเปอร์ เอสอี เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% จากมินิรุ่นแรก ส่งพละกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจึงสามารถส่งแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรได้ทันทีที่เท้าแตะคันเร่งแม้จากรถหยุดนิ่ง ส่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.9 วินาที และสามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งได้ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.3 วินาที มินิ คูเปอร์ เอสอี ทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในการวิ่งได้ระยะทางสูงสุดราว 203 – 234 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP)