Porsche ประกาศเจตนารมณ์ ภายในปี 2030 กว่า 80% ของผลิตภัณฑ์ยานยนต์ คือรถพลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ
ตลอดปีงบประมาณที่ผ่านมา Porsche AG สามารถขยับสถานะ ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ที่มีผลกำไรสูงที่สุดในโลก โดยปอร์เช่ บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตที่มีฐานบัญชาการตั้งอยู่ในสตุ๊ทการ์ทสามารถสร้างสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งในส่วนของรายได้จากการขาย และผลกำไรจากการดำเนินงาน มียอดขายในปี 2021 อยู่ที่ 33.1 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีตัวเลขยอดขายอยู่ที่ 28.7 พันล้านยูโร นั่นหมายความว่ามียอดขายสูงขึ้นถึง 4.4 พันล้านยูโร คิดเป็นอัตราส่วนการเติบโต 15% และผลกำไรจากการดำเนินงานสามารถทำได้ที่ 5.3 พันล้านยูโร สูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 1.1 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้น 27% และนอกจากนี้ปอร์เช่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากการขายเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 16.0 เปอร์เซ็นต์ โดยปีก่อนหน้าอยู่ที่ 14.6%
Oliver Blume ประธานกรรมการบริหารของ Porsche AG กล่าวว่า ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมในธุรกิจของเรา มีพื้นฐานจากความหาญกล้า มุ่งมั่น ไม่หวาดหวั่น จากนวัตกรรมยานยนต์ล้ำสมัยที่เรามี และการตัดสินใจที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ถึงอนาคตข้างหน้า แม้อุตสาหกรรมของเราต้องเผชิญกับสถานกาณ์ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เราได้จัดเตรียมแผนกลยุทธ์ในอนาคตเพื่อเป็นการรับมือ และทำให้การปฏิบัติงานสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยความสำเร็จดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยทางด้าน Lutz Meschke รองประธาน และสมาชิกคณะกรรมการบริหาร ผู้กำกับดูแลส่วนงานการเงิน และเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวถึงรากฐานอันแข็งแกร่งทางด้านโครงสร้างต้นทุนที่ดีเยี่ยม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่น่าสนใจของ Porsche AG ว่า ภาพรวมผลการดำเนินธุรกิจของเราสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันยอดเยี่ยมในการสร้างรายได้ที่บริษัทมีอยู่ สิ่งนี้คือตัวแทนของการเติบโตในแง่ของคุณค่า และความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างงดงามในกิจการของเรา ถึงแม้การทำงานจะตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบาก อาทิเช่น ภาวะการขาดแคลนอุปกรณ์ semiconductor ก็ตาม
กระแสเงินสดสุทธิเพิ่มขึ้นอีก 1.5 พันล้านยูโร รวมเป็น 3.7 พันล้านยูโร ในปี 2021 (ปีก่อนหน้าอยู่ที่ 2.2 พันล้านยูโร) โดยดัชนีชี้วัดดังกล่าวยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปอร์เช่ อยู่ในสถานะที่ดีเยี่ยมเพียงใด” Lutz Meschke เน้นย้ำในเรื่องของการพัฒนาเชิงบวกคือส่วนหนึ่งที่เป็นผลจากโครงการระยะยาว profitability program ในปี 2025 ซึ่งได้รับการออกแบบเพื่อรองรับการจัดสรรรายได้เข้าบริษัทอย่างยั่งยืน ผ่านนวัตกรรม และโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ และต้องขอขอบคุณบุคลากรที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังของเราทุกคนที่มีส่วนในการผลักดันให้โครงการ profitability program สำเร็จได้โดยสมบูรณ์ ปอร์เช่ยังคงมุ่งมั่นยกระดับประสิทธิภาพ และค้นหากรรมวิธีในการบรรลุจุดคุ้มทุนให้รวดเร็วที่สุด สิ่งเหล่านี้จะเป็นใบเบิกทางให้เรามีกำลังในการลงทุนเพื่อความอยู่รอดขององค์กรในอนาคต ท่ามกลางสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่ตึงเครียด เรามุ่งมั่นทุ่มเทต่อการพัฒนายนตกรรมพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีดิจิทัล และความยั่งยืนยาวนาน ผมมั่นใจว่าปอร์เช่จะสามารถยืนหยัดได้อย่างสง่างามภายใต้ภาวะวิกฤติของโลกที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
สถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นรอบโลก ก่อให้เกิดการเรียกร้องด้านมนุษยธรรม และความหวาดระแวดต่อภัยอันตราย “ปอร์เช่เล็งเห็นถึงสถานการณ์สงครามในประเทศยูเครนด้วยความกังวล และความตระหนก” Oliver Blume กล่าว “เรายังคงคาดหวังถึงการยุติของสงคราม และหวนคืนสู่วิธีเจรจาทางการทูต การดำเนินกิจกรรมทุกอย่างต้องยึดถือเอาความปลอดภัย และความซื่อสัตย์ต่อพลเมืองเป็นอันดับแรก” โดย Porsche AG ได้บริจาคเงินจำนวนทั้งสิ้น 1 ล้านยูโร เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนชาวยูเครนที่ประสบภัยสงคราม ทั้งนี้ระดับผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของปอร์เช่ในหลายประเทศ ถูกจับตามองอย่างต่อเนื่องโดยคณะทำงานที่เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ การที่ห่วงโซ่อุปทานสำหรับโรงงานปอร์เช่ได้รับผลกระทบ หมายถึงกำลังการผลิตบางแห่งที่ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ในช่วงเวลาต่อจากนี้
CFO Lutz Meschke เน้นย้ำ เรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ ที่จะตามมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ และการเมือง แต่กระนั้นเราไม่เคยหยุดรอที่จะเดินหน้าไปตามเป้าหมายของกลยุทธ์ที่วางแผนเอาไว้อย่างเหนียวแน่นช่วงต่อจากนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าในระยะยาวเราจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้อย่างน้อย 15% คณะทำงานของเราได้เริ่มต้นการประเมิน เพื่อรักษาระดับการทำรายได้ของบริษัทเอาไว้ ตามแนวทางดังกล่าว เราต้องการสร้างความเชื่อมั่นว่าจะยังคงบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการอย่างสูงสุด ในส่วนการขยายขอบเขตความสำเร็จนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกซึ่งเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ภายในองค์กรของปอร์เช่ได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งหมดตามความต้องการที่จะก่อให้เกิดผลสำเร็จในธุรกิจเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะในเชิงกลยุทธ์การดำเนินงาน และการเงิน ปอร์เช่ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ดีเยี่ยม เรายังคงก้าวต่อไปในอนาคตด้วยความเชื่อมั่น และยินดีต้อนรับนักลงทุนที่สนใจในหุ้น IPO ของ Porsche AG สิ่งเหล่านี้ช่วยสนับสนุนปอร์เช่ในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ รวมทั้งเพิ่มอิสระภาพให้แก่ผู้ประกอบการ ในขณะเดียวกัน Volkswagen และปอร์เช่ ยังคงมีผลประโยชน์ร่วมกันในฐานะบริษัทร่วมทุนต่อไปในอนาคต
ในปี 2021 ปอร์เช่ส่งมอบรถยนต์ทั้งหมด 301,915 คัน ให้แก่ลูกค้าทั่วทุกมุมโลก ตัวเลขดังกล่าวหมายถึงยอดจำหน่ายที่ทำลายสถิติสูงกว่า 300,000 คัน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัท ซึ่งปีก่อนหน้ามียอดขายที่ 272,162 คัน โดยรถยนต์รุ่นที่ทำยอดจำหน่ายสูงสุดคือปอร์เช่ มาคันน์ (Macan) จำนวน 88,362 คัน และ คาเยนน์ (Cayenne) จำนวน 83,071 คัน ในขณะเดียวกันตัวเลขยอดขายของปอร์เช่ ไทคานน์ (Taycan) เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าสองเท่า โดยลูกค้า 41,296 ราย ได้ตัดสินใจเป็นเจ้าของรถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าคันแรกของปอร์เช่ ซึ่งเป็นจำนวนที่แซงหน้า ปอร์เช่ 911 ยนตกรรมสปอร์ตระดับตำนาน และถึงแม้ว่าจะสามารถสร้างสถิติใหม่ได้ที่ยอดจำหน่ายสูงถึง 38,464 คัน Oliver Blume ยังเล็งเห็นว่า ปอร์เช่ ไทคานน์ (Taycan) คือรถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ และเป็นรถสปอร์ตที่ตอบสนองความต้องการให้แก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าดั้งเดิม ลูกค้ารายใหม่ หรือผู้เชี่ยวชาญในการขับขี่ ตลอดจนสื่อสารมวลชน โดยเราสามารถยกระดับรถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าของเราให้ยอดเยี่ยมเทียบเท่ากับรถรุ่นอื่น ๆ ในช่วงกลางทศวรรษนี้ได้ และเรามีแผนในการนำเสนอรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลาง ปอร์เช่ 718 ที่จะพัฒนาพิเศษด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ
สืบเนื่องกลับไปเมื่อปีก่อน เกือบ 40% ของลูกค้าปอร์เช่รายใหม่ในทวีปยุโรป ตัดสินใจเป็นเจ้าของรถสปอร์ตพลังงานทางเลือก ประกอบด้วย รถยนต์ปลั๊ก อิน ไฮบริด (plug-in hybrids) หรือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% นอกจากนี้ ปอร์เช่ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการเป็นองค์กร carbon-neutral ภายในปี 2030 แต่ในปี 2025 เราคาดการณ์ว่าครึ่งหนึ่งของรถยนต์ใหม่ที่ปอร์เช่จำหน่าย จะเป็นรถพลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า 100% หรือรถยนต์ปลั๊ก อิน ไฮบริด plug-in hybrid โดย Oliver Blume ประกาศ ว่าในปี 2030 สัดส่วนของรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายควรจะเป็นรถไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ มากกว่า 80% เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าว ปอร์เช่กำลังลงทุนร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจสถานีชาร์จพลังงานระดับพรีเมียม เสริมด้วยโครงข่ายบริการชาร์จพลังงานของปอร์เช่โดยตรง โดยการลงทุนนี้จะขยายเขตให้ครอบคลุมไปยังเทคโนโลยีที่เป็นแกนหลัก อาทิ ระบบแบตเตอรี่ และการผลิตโมดูล ใน Cellforce Group องค์กรที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ รวมไปถึงเซลล์แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง ที่กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพัฒนา และการทดลองผลิต ซึ่งคาดว่าจะพร้อมสำหรับเดินสายการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2024
ในปี 2021 ปอร์เช่มียอดส่งมอบรถยนต์ใหม่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยประเทศจีนมียอดจำหน่ายสูงสุด จากตัวเลขเกือบ 96,000 คัน เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติเดิมที่บันทึกไว้เมื่อปี 2020 และในทวีปอเมริกาเหนือปอร์เช่ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจโดยมีตัวเลขสูง มากกว่า 70,000 คัน เพิ่มขึ้นถึง 22% เห็นได้ชัดว่าเป็นการพัฒนาการเติบโตไปในทางบวกในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในประเทศเยอรมนี ปอร์เช่สามารถส่งมอบรถยนต์ใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 9% หรือเกือบ 29,000 คัน