47 ปีฐานแกร่ง “XSpring” นำร่องลงทุน วิ่งให้ทันเทรนด์โลก “สินทรัพย์ดิจิทัล”
สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในไทยยังคงรุนแรง ยอดผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 2 หมื่นคนต่อวัน ทว่าในวิกฤติย่อมมีโอกาส เพราะขณะที่เศรษฐกิจตกต่ำ กิจการห้างร้านต้องหยุดชะงัก แต่ผู้คนยังคงมองหาช่องทางการลงทุน และมองหาแหล่งทุนใหม่ ทำให้ “เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล” เดินหน้าแถลงข่าวเปิดตัวแนะนำธุรกิจใหม่ในฐานะ ผู้ให้บริการการเงินดิจิทัลแบบครบวงจร (Digital Financial Service) และเตรียมนำเสนอสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ 2 ตัวสู่ตลาดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) : XSpring Capital PCL หรือ XPG คือชื่อบริษัทใหม่ที่เปิดตัวในฐานะ ผู้ให้บริการด้านการเงินดิจิทัลแบบครบวงจร หลังจากเปลี่ยนชื่อใหม่ในปี 2564 เพื่อเปิดความพร้อมให้บริการด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ที่กำลังเป็นเทรนด์การลงทุนและแหล่งเงินทุนแห่งอนาคต แต่หากย้อนดูที่มาของเอ็กซ์สปริงฯ จะพบว่าไม่ใช่น้องใหม่ของวงการ เพราะต้นกำเนิดของกลุ่มนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2517 เมื่อ Overseas Securities and Industrial Consultant Co., Ltd. ก่อตั้งขึ้น หลังจากนั้นในปี 2538 บริษัท หลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ต่อมาในปี 2550 บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็กซ์สปริง จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นโดย บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ซีมิโก้ จำกัด และ Innotech Asset Management Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ได้รับใบอนุญาตการจัดการองทุน และต่อมาในปี 2552 จึงเกิดการร่วมทุนครั้งสำคัญระหว่าง ธนาคารกรุงไทย และซีมิโก้ มาเป็นบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ซึ่งเดิมคือเดิมคือ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด ได้โอนกิจการหลักทรัพย์ทั้งหมดและทรัพย์สินของบริษัทเข้ามาอยู่ที่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด หลังจากนั้นในปี 2558 ซิมีโก้และกรุงไทย จึงได้ก่อตั้ง บริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัดขึ้นจากชื่อเดิม “สินทรัพย์ลุมพินี” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเพื่อดำเนินการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และธุรกิจบริหารจัดการภายใต้การอนุมัติของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ทศวรรษต่อมา ในปี 2561-2562 จึงได้ก่อตั้งบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด ขึ้นมาจากชื่อเดิม คือ SE Digital Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อดำเนินธุรกิจ ICO (Initial Coin Offering) ซึ่งเป็นการระดมทุนแบบดิจิทัลด้วยการเสนอขายโทเคนดิจิทัล ผ่านระบบบล็อกเชนต่อสาธารณชน โดยผู้ระดมทุนจะเป็นผู้ออกโทเคนดิจิทัล มาแลกกับเงินดิจิทัล (cryptocurrency) หลังจากนั้นในปี 2564 จึงได้เปลียนชื่อมาเป็น บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG ที่เปิดตัวในปัจจุบัน ดังนั้นถนนสายธุรกิจจากบริหารหลักทรัพย์มาสู่สินทรัพย์ดิจิทัลของเอ็กซ์สปริงฯ จึงมีที่มายาวนานถึงกว่า 47 ปี เป็นสี่ทศวรรษที่คลุกคลีเติบโตในธุรกิจหลักทรัพย์มาโดยตลาด จนกระทั่งเทรนด์ของหลักทรัพย์มุ่งหน้ามาสู่ดิจิทัลมากขึ้น
สินทรัพย์ดิจิทัลโลกใหม่การลงทุน
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก้าวใหม่ของเอ็กซ์สปริง มาจากการมองเห็นเทรนด์การเติบโตแบบก้าวกระโดด ของธุรกิจการเงินดิจิทัลทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ที่มีมูลค่ากว่า 40 ล้านล้านบาท (1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ) และยังมีโอกาสเติบโตสูงจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศได้อีกมาก
โดยเอ็กซ์สปริงฯ วางเป้าการเติบโตไปพร้อมตลาดโลก ผ่านสินทรัพย์ที่จะมาแทนที่เงินสกุลต่างๆ เช่น คริปโทเคอเรนซี่ และการซื้อขายทองคำผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งเพียงตลาดบิทคอยน์ตลาดเดียวก็โตกว่า 24 ล้านล้านบาท (8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ) รวมทั้งในตลาดแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และ Decentralized Finance ที่มีขนาดกว่า 11.7 ล้านล้านบาท (3.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ)
นอกจากนั้น Utility Token และ Security Token ก็ยังเป็นการเงินดิจิทัลที่มีการเติบโตสูงเช่นกัน ด้วยขนาดตลาดในปัจจุบันสูงถึง 1.95 ล้านล้านบาท (64,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทั้งนี้ ทั่วโลกยังนำโทเคนดิจิทัลและระบบบล็อคเชนมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ โทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น ทอง ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ที่เชื่อว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก (Disruption) และจะนำมาสู่โอกาสทางธุรกิจมากมายของเอ็กซ์สปริงในอนาคต
ประธาน XPG กล่าวว่า “ปีนี้นับเป็นก้าวสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเอ็กซ์สปริง ทั้งการเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)” และการได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน จนสามารถเพิ่มทุนได้สูงถึง 7,111 ล้านบาท ภายในเวลาไม่นาน รวมถึงการร่วมลงทุนจากพันธมิตร เช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ใน Digital Financial Service
ปัจจุบันเอ็กซ์สปริงประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจการเงินที่พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ร่วมกันสร้างโอกาสความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักลงทุนทุกระดับได้แก่ ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ธุรกิจจัดการกองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด และธุรกิจจัดการเงินลงทุน
“การเพิ่มทุนทำให้เอ็กซ์สปริงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องทางการเงินสูง ด้วยเงินทุนจากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท และสัดส่วนการเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท ทำให้เอ็กซ์สปริงมีเงินทุนในมือกว่า 10,000 ล้านบาท ที่จะนำไปพัฒนาธุรกิจใน 3 ด้าน” นายระเฑียร ย้ำก่อนจะแจกแจงรายละเอียดธุรกิจทั้งสามด้านประกอบด้วย
- ธุรกิจดิจิทัล โดยจะมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบดิจิทัล และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับบริการด้านการเงิน
- ธุรกิจปัจจุบัน ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจหลักทรัพย์และให้บริการโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า การสนับสนุนการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) การขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุนและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงและความสามารถด้านเทคโนโลยี
- การชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ครึ่งแรกของปี 2564 โลกและไทยยังเผชิญวิกฤติโควิด-19 แต่ประธาน XPG เผยว่า “ผลประกอบการของเอ็กซ์สปริงฯ ทำได้น่าพอใจ โดยมีรายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนแล้ว 167 ล้านบาท สูงกว่าของทั้งปี 2563 ที่มีจำนวนรวม 141 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิฯ อยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 791% นับเป็นสัญญาณบวก และทำให้เชื่อมั่นว่าแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่งในช่วงต่อจากจะมีรายได้เติบโตก้าวกระโดดได้ในปี 2565”
เปลี่ยนผ่านมุ่งไปข้างหน้า
“ก้าวย่างที่สำคัญของเอ็กซ์สปริงฯ เกิดขึ้นและพร้อมที่จะเดินต่อไปข้างหน้า” ประธาน XPG ย้ำและว่า ในปี 2564 บริษัทวางแผนรุกธุรกิจครั้งใหญ่สู่การเป็น “Digital Financial Service” ผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร ที่จะเปลี่ยนโลกธุรกิจการเงินเดิมๆ สู่นวัตกรรมการเงิน ด้วยการต่อยอดความเชี่ยวชาญ ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล เชื่อมโยงโลกการเงินปัจจุบันและโลกบริการการเงินดิจิทัลอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงโลกการเงินและการลงทุนได้สะดวกและง่ายดาย ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง รวมทั้งสามารถเปิดรับข้อมูลการลงทุนได้อย่างครอบคลุม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ซึ่งนับเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลก
ก้าวใหม่ของเอ็กซ์สปริงวันนี้ จึงมาจากการมองเห็นเทรนด์การเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจการเงินดิจิทัลทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกมูลค่ากว่า 40 ล้านล้านบาท (1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ) ที่มีโอกาสเติบโตสูงและจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศได้อีกมากในอนาคต ซึ่งเอ็กซ์สปริงวางเป้าการเติบโตไปพร้อมตลาดโลกผ่านสินทรัพย์ที่จะมาแทนที่เงินสกุลต่างๆ เช่น คริปโทเคอเรนซี่ และการซื้อขายทองคำผ่านระบบดิจิทัล แค่ตลาดบิทคอยน์ตลาดเดียวก็โตกว่า 24 ล้านล้านบาท (8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ)
นั่นคือตัวเลขที่ปรากฏในตลาดโลก สำหรับประเทศไทยการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเดินหน้ามาสักพัก แต่ยังไม่แพร่หลาย เพราะตลาดยังไม่เข้าใจและยังไม่เชื่อถือมากพอเนื่องจาก สินทรัพย์ดิจิทัลส่วนใหญ่ไม่มีหลักทรัพย์เป็นฐานค้ำประกัน แต่เอ็กซ์สปริง จะมาทลายความไม่เชื่อมั่นนี้ด้วยจุดแข็งที่มีอย่างครบถ้วน คือ พันธมิตร – เงินทุนที่แข็งแกร่ง การมี 17 Licenses ในมือ และอีก 4 Licenses ที่รออนุมัติ
เอ็กซ์สปริง มีเป้าหมายที่จะรุกธุรกิจให้เติบโต ด้วยบทบาทของการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหลักทรัพย์ การมุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง (Mid-cap) เป็นหลัก การบริการครบวงจรสำหรับตลาดทุนและโซลูชันในการขายโทเคนดิจิทัล (ICO) การยกระดับความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ และการสร้างความแข็งแกร่งให้กับทุนมนุษย์ (Human Capital)
นอกจากนี้เอ็กซ์สปริงจะพัฒนาต่อยอดในอนาคต ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (AM) และการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาด (PE) เพื่อดึงดูดกลุ่มมั่งคั่งที่มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบใหม่อีกด้วย”
แผนการรุกธุรกิจภายหลังการเพิ่มทุน เอ็กซ์สปริงจะเดินหน้าตามแผนธุรกิจ “Transformation & Leap Forward” คือการเปลี่ยนผ่านและมุ่งไปข้างหน้าเต็มตัว โดยตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด “XSpring AMC” บริษัทย่อยของเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ได้ร่วมมือกับแสนสิริ “ร่วมลงทุนในกองสินทรัพย์” ที่ประกอบด้วยลูกหนี้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และพักอาศัย อาคารสิริแคมปัส และสัญญาหลักประกันซึ่งประกอบไปด้วยที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (NPL) เพื่อนำมาบริหารสินทรัพย์ต่อยอดธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มในระยะยาว
นอกจากนี้ เอ็กซ์สปริง ยังมีแผนการเปิดตัวธุรกิจนายหน้าและผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital asset broker and dealer) ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และการขอใบอนุญาต Digital asset fund manager ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ และ Open-architecture licenses เพื่อเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้แก่ลูกค้า ตลอดจนการหาโอกาสการลงทุนในบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพสูง
“ขอให้มั่นใจว่าเอ็กซ์สปริงฯ จะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจการเงิน ขับเคลื่อนธุรกิจเต็มที่และไม่หยุดยั้ง สร้างโอกาสการลงทุนที่หลากหลายและเหมาะสมเพื่อสร้างผลตอบแทนและความพึงพอใจให้กับนักลงทุนที่สนใจ ทั้งรายเล็กรายใหญ่รวมทั้งกลุ่ม Wealth ที่จะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายสู่ผู้นำบริการทางการเงินครบวงจร ทั้งโลกการเงินปัจจุบันและโลกการเงินดิจิทัลได้ในที่สุด” นายระเฑียร กล่าวปิดท้าย