เครือโรงพยาบาลพญาไท แนะ 5 วิธีสร้างภูมิคุ้มกัน รับมือโควิด-19
1 ปีกว่าแล้วที่คนไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโควิด-19 โดยได้เข้ามาดิสรัปการใช้ชีวิตแบบเดิม ซึ่งทุกคนต้องปรับพฤติกรรมกันใหม่ให้เป็นแบบ New Normal ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การศึกษา หรือสาธารณสุข อย่างไรก็ดีในสถานการณ์ที่ไม่รู้ถึงจุดสิ้นสุดการระบาดของโควิด-19 สิ่งที่ทุกคน ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือการป้องกันและดูแลสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
นพ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายแพทย์ เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ให้ข้อมูลว่า ระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกของร่างกายที่ทำหน้าที่ป้องกัน ต่อต้าน และกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เครือโรงพยาบาลพญาไทเล็งเห็นว่าประชาชนควรเตรียมพร้อมในการดูแลตัวเอง ทั้งร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง เพราะเป็นแนวทางที่ช่วยกระตุ้นและเสริมภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับไวรัสได้อีกทางหนึ่ง โดยวิธีในการสร้างภูมิคุ้มกันสามารถทำได้ดังนี้
1.รับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ร่างกายต้องการสารอาหารหลักทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และสารอาหารรองไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่าง ๆ เช่น วิตามิน A, C, E, D, B6, B9, B12 รวมถึงแร่ธาตุสังกะสี, เหล็ก, ทองแดง, แมกนีเซียม, ซีลีเนียม และแมงกานีส ซึ่งสามารถรับได้จากอาหารธรรมชาติ อย่างผักและผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง จะเป็นบล็อคโคลี่, ผักโขม, ผักเคล, มะขามป้อม, ฝรั่ง, ส้ม หรือแหล่งอาหารของวิตามิน A จะอยู่ในเครื่องในสัตว์, ไข่แดง, นม และผลิตภัณฑ์จากนม โดยควรรับประทานอาหารสด หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารแช่แข็ง เพราะจะทำให้ขาดสารอาหารหรือวิตามินได้
2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนัก อาจเป็นการออกกำลังกายแบบง่าย ๆ ที่สามารถทำภายในบ้านก็ได้ ซึ่งควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที จำนวน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และกระตุ้นให้ระบบการหมุนเวียนของเลือดโดยรวมเป็นไปด้วยดี ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง สามารถจัดการกับเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น จึงลดโอกาสการเกิดโรค ขณะเดียวกันร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินหลังการออกกำลังกาย ซึ่งช่วยให้เกิดภาวะผ่อนคลายและลดความวิตกกังวลต่าง ๆ ได้
3.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพ ควรมีการเตรียมตัวก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง โดยงดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ เพราะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายตื่นและนอนไม่หลับ รวมถึงต้องฝึกนิสัยให้เคยชินว่าเมื่ออยู่บนเตียงนอนแล้วไม่ควรทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากการนอนหลับ นอกจากนั้น ควรจัดสรรเวลานอนให้เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงเวลาของการ Work from home ควรแบ่งเวลาการใช้ชีวิตให้ไม่ทับซ้อนกัน หรือแบ่งเป็น 8/8/8 คือ ทำงาน นอนหลับพักผ่อน และทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างละ 8 ชั่วโมง
4.จัดการกับความเครียด เพราะความเครียดเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องหาวิธีจัดการหรือตั้งรับให้ดี ซึ่งหากรู้ว่าตัวเองกำลังเครียดก็ต้องมีสติ สำรวจความคิดและอารมณ์ และรู้เท่าทันความเครียดที่เกิดขึ้น แล้วนำตัวเองออกมาจากสภาวะนั้นด้วยการหากิจกรรมคลายเครียดที่ชอบ เช่น ร้องเพลง เล่นดนตรี ดูหนัง อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมแปลกใหม่ที่ตัวเองไม่เคยลองทำมาก่อน ซึ่งสามารถเลือกดูกิจกรรมได้จากสื่อออนไลน์ที่มีคลิปการสอนต่างๆ อย่างการสร้างสรรค์งานศิลปะแบบ DIY หรือทำอาหาร เป็นต้น
5.เสริมด้วยวิตามิน วิตามินเป็นเหมือนทางลัดในการฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน ซึ่งนิยมรับประทานกันในรูปแบบเม็ด เช่น วิตามิน C ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้ไม่ป่วยหรือเป็นหวัดได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกาย และเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ หรือวิตามิน D ซึ่งช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้กระดูกแข็งแรง ขณะเดียวกันยังช่วยเรื่องภูมิคุ้มกัน และการนอนหลับที่ดี ช่วยต่อต้านการอักเสบต่างๆ รวมถึงวิตามิน E ที่เป็นตัวช่วยในการทำงานของตับ มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และหากได้รับวิตามินตัวนี้อย่างเหมาะสมก็จะช่วยป้องกันและซ่อมแซมเส้นผม ผิวและเล็บได้
“คนเราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็ทำลายภูมิคุ้มกันได้ด้วยตัวเองได้เหมือนกันจากไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่ทำอยู่ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงและกิจกรรมที่จะทำลายภูมิคุ้มกันด้วย นอกจากนี้ ยังต้องปกป้องตัวเองจากโควิด-19 อย่างเข้มข้นไปพร้อมกัน ทั้งการสวมหน้ากากทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงจากนำมือมาจับหน้า และไม่เข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงรักษาระยะห่างจากผู้อื่นอย่างเหมาะสม” นพ.อนันตศักดิ์ กล่าวสรุป