ยางรถจักรยานยนต์ 4 รุ่นใหม่ในตระกูล ‘มิชลิน พาวเวอร์’ พร้อมรุกตลาดทุกกลุ่มการใช้งาน
ล่าสุด มิชลิน ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียางล้อระดับโลก รุกเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยางรถจักรยานยนต์พร้อมกันทีเดียว 4 รุ่น ได้แก่ มิชลิน พาวเวอร์ 5 (MICHELIN Power 5), มิชลิน พาวเวอร์ จีพี (MICHELIN Power GP), มิชลิน พาวเวอร์ คัพ2 (MICHELIN Power Cup2) และ มิชลิน พาวเวอร์ สลิค2 (MICHELIN Power Slick2) การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นการปรับโฉมกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถจักรยานยนต์ประเภทไฮเปอร์สปอร์ตทั้งหมดในตระกูล ‘มิชลิน พาวเวอร์’ เพื่อให้มีความสอดคล้องกันในเชิงสมรรถนะและส่งเสริมซึ่งกันและกัน
มร.รอสส์ ชีลส์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ 2 ล้อ ประจำภูมิภาคเอเชีย บริษัท สยามมิชลิน จำกัด เปิดเผยว่า นับตั้งแต่กลับเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนยางอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในการแข่งขันโมโตจีพีเมื่อปี 2559 มิชลินมุ่งมั่นนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียางรถจักรยานยนต์ระดับแชมป์โลกบนสนามแข่งมาใช้ในการพัฒนาสมรรถนะของยางรถจักรยานยนต์ที่วางจำหน่ายให้กับนักบิดทั่วโลก เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่สุดพิเศษให้กับลูกค้า โดยการวางตลาดผลิตภัณฑ์ยางรถจักรยานยนต์ทั้ง 4 รุ่นล่าสุดคือหนึ่งในประจักษ์พยานของความมุ่งมั่นนำเสนอเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่ท้องถนนดังกล่าว
“ยางทั้ง 4 รุ่นมุ่งเจาะกลุ่มนักบิดที่ชื่นชอบความเร็วแรง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในตลาดยางรถจักรยานยนต์ ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์สไตล์สปอร์ต ดีไซน์ดอกยาง ตลอดจนเสถียรภาพและสมรรถนะที่เหนือกว่าเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง ซึ่งยางทั้ง 4 รุ่นล่าสุดในตระกูลมิชลิน พาวเวอร์ สามารถตอบโจทย์ได้อย่างตรงใจ เนื่องจากได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีคุณสมบัติเด่นในการเสริมสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ สมรรถนะ และความเพลิดเพลินขณะขับขี่” มร.ชีลส์ กล่าว
ทั้งนี้ ยาง มิชลิน พาวเวอร์ 5 และ มิชลิน พาวเวอร์ จีพี ออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนถนนทางเรียบเป็นหลัก ด้วยนวัตกรรมสูตรเนื้อยางผสมซิลิกา (Silica) และคาร์บอนแบล็ก (Carbon Black) โดย มิชลิน พาวเวอร์ 5 เป็นยางสำหรับใช้งานบนถนนทางเรียบเท่านั้น พัฒนาขึ้นให้มีอัตราส่วนพื้นที่ร่องรีดน้ำอยู่ที่ 11% เพื่อความเพลิดเพลินสูงสุดเมื่อขับขี่บนถนนแห้งและให้ความปลอดภัยขณะขับขี่บนถนนเปียก ผ่านการทดสอบแล้วว่าให้สมรรถนะในการใช้งานบนถนนเปียกเหนือกว่ายางของคู่แข่งรายหลัก ๆ* สำหรับยาง มิชลิน พาวเวอร์ จีพี ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้งานบนถนน 50% และใช้งานบนสนามแข่ง 50% ผ่านการทดสอบแล้วว่าให้สมรรถนะในการใช้งานทั้งบนถนนเปียกและถนนแห้งเหนือกว่ายางของคู่แข่งรายหลัก ๆ* โดยมีโครงสร้างดอกยางที่เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งบนถนนและสนามแข่ง ไหล่ยางได้รับการออกแบบให้ไม่มีดอกยางเพื่อการยึดเกาะและเสถียรภาพที่เป็นเยี่ยมบนสนามแข่ง โดยมีอัตราส่วนพื้นที่ร่องรีดน้ำอยู่ที่ 6.5%
ยาง มิชลิน พาวเวอร์ คัพ2 (MICHELIN Power Cup2) และ มิชลิน พาวเวอร์ สลิค2 ออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนสนามแข่งเป็นหลัก โดย มิชลิน พาวเวอร์ คัพ2 เป็นยางซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้งานบนถนน 10% และใช้งานบนสนามแข่ง 90% เรียกได้ว่าเป็นยางสำหรับสนามแข่งที่ใช้งานบนถนนได้ชนิดมีดอกยาง ขณะที่ มิชลิน พาวเวอร์ สลิค2 ออกแบบมาเพื่อมุ่งเจาะกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรม Trackday เป็นพิเศษ จึงมีระยะเวลาวอร์มอัพสั้นยางทั้งสองรุ่นนี้ผ่านการทดสอบแล้วว่าทำเวลาต่อรอบและทำเวลาวิ่งต่อเนื่องได้ดีที่สุด** โดยทำความเร็วได้ดีที่สุดทั้งในการวิ่ง 1 รอบสนาม (Single Lap) และในการวิ่งต่อเนื่องตลอดระยะการแข่งขัน
ผลิตภัณฑ์ยางรถจักรยานยนต์ออกใหม่ทั้ง 4 รุ่น ไม่เพียงผลิตขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีจากสนามแข่งแบบเดียวกัน ทั้งในแง่การใช้โครงสร้างยางแบบ ACT+ และสูตรเนื้อยางพิเศษ 2CT+ Dual Compound ตลอดจนการดีไซน์ดอกยางด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย แต่ยังมีเอกลักษณ์พิเศษที่แก้มยางด้วย Michelin Premium Touch Technology เทคโนโลยีสิทธิบัตรเฉพาะของมิชลินที่ทำให้ได้แก้มยางที่มีลักษณะพื้นผิวคล้ายกำมะหยี่และให้ความแตกต่างระหว่างเฉดสีดำที่ตัดกัน
“อย่างไรก็ตาม ยางที่เปิดตัวในครั้งนี้แต่ละรุ่นมีคุณสมบัติเชิงสมรรถนะที่โดดเด่นแตกต่างกัน ด้วยการใช้วัสดุทางเทคโนโลยีขั้นสูงและการออกแบบโครงยางที่มีรายละเอียดเฉพาะตัว ทั้งนี้ โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ ประกอบกับความสมดุลที่ลงตัวระหว่างความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งทนทาน ส่งผลให้ยางเหล่านี้มีสมรรถนะสูงไม่ว่าผู้ขับขี่และรถจักรยานยนต์จะเอียงตัวทำมุมเท่าใดก็ตาม” มร.ชีลส์ กล่าวเสริม
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ยางรถจักรยานยนต์ในตระกูล ‘มิชลิน พาวเวอร์’ ทั้ง 4 รุ่น มีวางจำหน่ายแล้ว ณ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศ คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.michelin.co.th
* อ้างอิงผลการทดสอบภายในองค์กรซึ่งจัดทำ ณ สนามแข่ง Issoire Track (ทดสอบสมรรถนะการใช้งานบนถนนแห้ง) และ สนามแข่ง Fontange Track (ทดสอบสมรรถนะการใช้งานบนถนนเปียก) เมื่อเดือนกรกฎาคมและเดือนตุลาคม 2562
** อ้างอิงผลการทดสอบภายในองค์กรซึ่งจัดทำ ณ สนามแข่ง Cartagena Track ประเทศสเปน เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 โดยเปรียบเทียบสมรรถนะกับยางของคู่แข่งรายหลัก ๆ ในท้องตลาด