บริดจสโตน ทุ่มงบเกือบ 100 ล้านบาท เปลี่ยน A.C.T เป็น Cockpit สู้ศึกฟาสต์ฟิต
ธนวัฒน กิตติรัตนาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจสโตน เอ.ซี.ที (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ www.benewsonline.com ถึงการรุกตลาดครั้งใหญ่ ทุ่มงบเกือบ 100 ล้านบาท ปรับแบรนด์ A.C.T สู้ศึกฟาสต์ฟิต ตั้งเป้าเป็นผู้นำอันดับหนึ่งภายใน 3 ปี ลุยผ่านกลยุทธ์การยกระดับศูนย์บริการ นำเสนอความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมขยายสาขาทั่วไทย กับสโลแกน “คุ้มครบไว อุ่นใจที่คอกพิท”
BENEWSONLINE : จุดเริ่มต้นของการรุกธุรกิจฟาสต์ฟิต?
จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกของบริดจสโตนในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ปี 2534 จากการเปิด “Cockpit” ศูนย์บริการยางรถยนต์สาขาแรกในประเทศไทย ที่บริหารงานโดยบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้บริการด้านการขายยางรถยนต์ รวมถึงมีการให้ข่าวสารความรู้ด้านการดูแลรักษายางรถยนต์ให้แก่ลูกค้าอย่างใกล้ชิด
ต่อมาในปี 2551 บริดจสโตนเข้าซื้อกิจการเครือข่ายค้าปลีกของกลุ่มเชลล์ และจัดตั้งเป็น บริษัท บริดจสโตน เอ.ซี.ที (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อมาดูแลศูนย์บริการรถยนต์ภายใต้แบรนด์ A.C.T (แอค) ศูนย์บริการรถยนต์ที่พร้อมให้บริการแก่ผู้ใช้รถยนต์ทุกท่าน ตั้งแต่การบริการเปลี่ยนยางรถยนต์, น้ำมันเครื่อง, เบรก, โช้คอัพ, แบตเตอรี่ และการบำรุงรักษารถยนต์
BENEWSONLINE : บริษัท บริดจสโตน เอ.ซี.ที (ประเทศไทย) จำกัด วางแผนรุกธุรกิจ ฟาสต์ฟิต อย่างไร ?
ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะปรับแบรนด์ A.C.T มาเป็น Cockpit ทั้งนี้เพื่อสร้างความหลากหลายในการให้บริการ โดยรวมจุดเด่นของทั้ง ค็อกพิท และ A.C.T ไว้ด้วยกัน โดยในเบื้องต้นได้ทุ่มงบเกือบ 100 ล้านบาท ปรับบแรนด์ A.C.T ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรเป็น Cockpit สู่การเป็น “ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร” ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1.ยกระดับศูนย์บริการ 2.นำเสนอความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการ และ 3.ขยายสาขาทั่วไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำในตลาดด้านการให้บริการลูกค้าที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วภูมิภาคในประเทศไทย กับสโลแกนใหม่ “คุ้มครบไว อุ่นใจที่ค็อกพิท” เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดค็อกพิทพร้อมดูแลคุณได้อย่างครบครั้น รวดเร็วและคุ้มค่าพร้อมคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าทุกคน
การทุ่มงบปรับเปลี่ยนบแรนด์ A.C.T สู่การเป็นบแรนด์ ค็อกพิท ครั้งนี้เพื่อเป้าหมายในการมุ่งมั่นและเติบโตในธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร พร้อมทั้งเป้าหมายการสู่อันดับหนึ่งภายใน 3 ปี
BENEWSONLINE : เพราะเหตุใดจึงได้ปรับเปลี่ยน A.C.T มาเป็น Cockpit ?
จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคผู้ใช้บริการศูนย์บริการรถยนต์ 43% เน้นศูนย์บริการมาตรฐาน ความสะดวกสบาย เช่น ใกล้บ้าน ที่ทำงาน มีบริการที่หลากหลายครบวงจร เช่น ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ โช็คอัพ น้ำมันเครื่อง และอื่น ๆ ทำให้มองว่า Cockpit ดำเนินธุรกิจมากว่า 30 ปี ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ส่วน A.C.T เพิ่งจะทำตลาดได้ไม่นาน การเปลี่ยนแบรนด์มาเป็น Cockpit การรับรู้ของแบรนด์จะทำให้รุกตลาดได้อย่างรวดเร็วและทำให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานของบริดจสโตนที่ต้องการรุกตลาดในธุรกิจฟาสต์ฟิตอย่างเต็มที่
BENEWSONLINE : ปัจจุบัน A.C.T มีกี่สาขา ?
A.C.T เดิมมีอยู่ทั้งหมด 100 สาขา โดยเป็นของ Cockpit 40 แห่ง และเป็นแฟรนไชส์ 60 แห่ง ซึ่ง 40 แห่งได้ดำเนินการเปลี่ยนแบรนด์เรียบร้อยแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยในส่วนของแฟรนไชส์ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ นอกจากนี้ ยังเตรียมแผนที่จะขยายสาขา Cockpit เพิ่มอีก 20 สาขาภายในปีนี้ โดยแต่ละสาขาจะลงทุนประมาณ 15-20 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งหลังจากการลงทุนปรับเปลี่ยนแบรนด์ครั้งนี้จะทำให้ ค็อกพิท มีทั้งหมด 320 สาขา
BENEWSONLINE : บริษัทวางแผนงานและการยุทธ์การรุกตลาด Cockpit อย่างไร?
บริษัทวางกลยุทธ์และแผนดำเนินงานไว้ 3 ด้าน คือ 1.ยกระดับให้ Cockpit เป็น “ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร” 2.นำเสนอความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการ ได้แก่ ยาง (นอกจากยางรถยนต์แบรนด์ Bridgestone, Firestone และ Dayton แล้ว Cockpit จะนำยางแบรนด์อื่น ๆ มาให้บริการลูกค้า ณ ศูนย์บริการด้วย) น้ำมันเครื่อง (บริการเปลี่ยนถ่ายและจำหน่ายน้ำมันเครื่องคุณภาพ) แบตเตอรี่ (บริการจำหน่ายและเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพ) เบรก (บริการครบครันเพื่อประสิทธิภาพด้านระบบเบรคของรถยนต์) โช้คอัพ (บริการติดตั้งโช้คอัพด้วยเทคโนโลยีทันสมัยพร้อม คุณภาพที่ผ่านมาตรฐานกระบวนการผลิต) และการบำรุงรักษารถยนต์ (เพื่อให้รถของคุณสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพบนความปลอดภัยในทุกการเดินทาง) และ 3.การขยายสาขาทั่วไทย โดยเริ่มจากการเปลี่ยน “A.C.T” ทุกสาขาเป็น “Cockpit” โดยตั้งเป้าหมายให้มีสาขาทั่วประเทศไทย 320 สาขาในปี 2563
พร้อมกันนี้ ได้เตรียมทุ่มงบ 100 ล้านบาท ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย พร้อมสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้บริโภคถึงการปรับเปลี่ยนแบรนด์ รวมถึงการบริการอย่างครบวงจรที่อยู่บนความแข็งแกร่งในส่วนของผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์บริดจสโตน
BENEWSONLINE : การแข่งขันในธุรกิจฟาสต์ฟิตเป็นอย่างไร ?
การแข่งขันในธุรกิจ “ฟาสต์ฟิต” ในประเทศไทยนับว่ามีการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งกิจกรรมทางการตลาด โปรโมชั่นต่างจากแบรนด์ต่าง ๆ และแบรนด์ใหม่ ๆ ของศูนย์บริการรถยนต์เพิ่มขึ้นมาทุกปี บริดจสโตน ในฐานะเจ้าแรกของการดำเนินธุรกิจฟาสต์ฟิตในประเทศไทย พร้อมที่จะสู้ศึกนี้ โดยยึดถือ ลูกค้าต้องมาก่อน (Customer Centric) เรามุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้ในทุกด้าน เมื่อลูกค้าก้าวเข้ามาที่ค็อกพิทแล้ว โดยเชื่อมั่นว่าลูกค้าทุกคนจะได้รับประสบการณ์ที่ดีทั้งจากผลิตภัณฑ์และบริการ กลายเป็นศูนย์บริการรถยนต์รายแรกที่ทุกคุณคิดถึง เข้าไปอยู่ในใจลูกค้า จึงเป็นเหตุให้เกิดการควบรวมทีมงานของบริดจสโตน ส่ง “Cockpit” สู้ศึกฟาสต์ฟิตนี้
BENEWSONLINE : บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้อย่างไร?
ปี 2562 บริษัทมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 5-6 % โดยปี 2563 หลังจากรวมแบรนด์ และด้วยบริการที่ครบครับ จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นครอบคลุมทั่วไทย คาดว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
BENEWSONLINE : ปัจจุบันมีโปรโมชั่นอะไรบ้าง?
โปรโมชั่นพิเศษที่จะมาพร้อมกับการเปิดตัว Cockpit TVC ที่จะพร้อมให้รับชมทั่วประเทศในวันที่ 25 มีนาคมนี้ อาทิ น้ำมันเครื่อง PTT กึ่งสังเคราะห์รุ่น 10W-40 เกรดหมื่นโล ขนาด 4 ลิตร ราคาเพียง 666 บาท พร้อมทั้ง ฟรี !! น้ำมันเครื่อง 1 ลิตร, ฟรี !! ไส้กรอง, ฟรี !! เสื้อยืด เป็นต้น และโปรโมชั่นยางรถยนต์เดย์ตัน ซื้อ 3 แถม 1 โปรโมชั่นพิเศษนี้ ริ่มตั้งแต่ 25 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2563 ทุกศูนย์บริการ Cockpit ทั่วประเทศ