HONDA เปิดบ้านใหม่ เผยยอดขายครึ่งปี 61 ครองอันดับ 1 ใน 4 เซกเมนต์หลัก
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดบ้านใหม่ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ส่วนการขายและบริการ ณ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ต้อนรับสื่อมวลชน ชูแนวคิดการทำงานยุคใหม่ เน้นสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต พร้อมเผยยอดขายสะสมครึ่งปี 2561 (มกราคม-มิถุนายน 2561) จำนวน 59,838 คัน (นับรวมฮอนด้า บีอาร์-วี เอชอาร์-วี และซีอาร์-วี) ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 26.1% อีกทั้งครองอันดับ 1 ใน 4 เซกเมนต์หลัก ได้แก่ ซับคอมแพคท์ คอมแพคท์ แฟมิลี่ และเอสยูวี ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 126,000 คัน พร้อมเดินหน้าตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ ยกระดับการบริการและดูแลลูกค้า อีกทั้งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการใช้ชีวิตของผู้คนทั้งในด้านการเดินทางและการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ปี 2030
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การย้ายสำนักงานใหญ่ส่วนการขายและบริการของฮอนด้ามายังอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของฮอนด้าในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ชูแนวคิดการทำงานยุคใหม่ เน้นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่มีความทันสมัย พร้อมฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การทำงานที่ยืดหยุ่นและหลากหลายของพนักงานในองค์กร อาทิ พื้นที่ส่วนกลาง ที่เรียกว่า “Dream Space” มาพร้อมวิวเมืองแบบพาโนรามา ซึ่งเปิดโอกาสให้พนักงานต่างส่วนงานใช้พื้นที่เพื่อร่วมพูดคุย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและต่อยอดไอเดียใหม่ ๆ ในการทำงาน ซึ่งเอื้อต่อการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรอย่างสูงสุด นอกจากนี้ ยังได้นำเอาระบบและเทคโนโลยีต่างๆ เช่น การใช้ application หรือ tablet มาช่วยให้การทำงานสะดวกสบายและง่ายขึ้นด้วย”
ในส่วนของยอดขายฮอนด้าในช่วงครึ่งปีแรก เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมียอดขายสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2561 จำนวน 59,838 คัน (นับรวมฮอนด้า บีอาร์-วี เอชอาร์-วี และซีอาร์-วี) ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 26.1% อีกทั้งมียอดขายสะสมเป็นอันดับ 1 ใน 4 เซกเมนต์หลัก ได้แก่ ซับคอมแพคท์ (ซิตี้ และ แจ๊ซ) คอมแพคท์ (ซีวิค และซีวิค แฮทช์แบ็ก) แฟมิลี่ (แอคคอร์ด และแอคคอร์ด ไฮบริด) และเอสยูวี (บีอาร์-วี เอชอาร์-วี และซีอาร์-วี) ล่าสุด เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้เปิดตัว ฮอนด้า เอชอาร์-วี ใหม่ ยนตรกรรมสปอร์ตครอสโอเวอร์ระดับพรีเมียม เข้าสู่ตลาดเพื่อสร้างกระแสรถครอสโอเวอร์ในระดับคอมแพคท์อีกครั้ง ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ด้วยยอดจองกว่า 4,000 คัน ในระยะเวลาประมาณ 1 เดือนหลังจากการเปิดตัว ซึ่งจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จะทำให้ยอดขายในตลาดรวมมากกว่า 950,000 คัน และฮอนด้าเองก็เชื่อมั่นว่าจะสามารถทำยอดขายในปีนี้ได้ตามเป้าที่ 126,000 คัน
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต ฮอนด้าจะมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการใช้ชีวิตของผู้คนทั้งในด้านการเดินทางและการใช้ชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ ตามวิสัยทัศน์ ปี 2030 โดยฮอนด้าจะเดินหน้าพัฒนายนตรกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกเซ็กเมนต์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมุ่งเน้นพัฒนายนตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ระบบไฟฟ้าในหลากหลายรูปแบบ ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยจากการที่ฮอนด้าได้รับรางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม (TAQA-Thailand Automotive Quality Award)
ด้านภาพลักษณ์ดีเด่นประเภทยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ (Trusted Brand) 6 ปีติดต่อกัน (ตั้งแต่ปี 2555-2560) แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์ฮอนด้ามาอย่างต่อเนื่อง
นับจากนี้ ฮอนด้าจะทำการต่อยอดและตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีความโดดเด่นและชัดเจนยิ่งขึ้น และจากพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ฮอนด้าจะเน้นกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมไปกับการเดินหน้ายกระดับการบริการและ
เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลลูกค้าด้วยวิธีการและกลยุทธ์ที่มุ่งมั่นให้ความสำคัญแก่ลูกค้าเป็นอันดับแรก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการให้ดีที่สุด
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร กล่าวสรุปว่า “จากการปรับเปลี่ยนหรือเสริมกลยุทธ์บางอย่างเพื่อให้ฮอนด้าก้าวนำและทันกับยุคสมัย ส่วนหนึ่ง ที่ให้ความสำคัญเสมอมา คือ ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร โดยการสานต่อและสืบทอดความสำเร็จของบริษัทนั้นต้องอาศัยกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทางบริษัทจึงได้วางรากฐานผ่านการอบรมในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เติบโตเป็นกำลังสำคัญในอนาคต และก้าวไปพร้อมกับองค์กรได้อย่างมั่นคง เพื่อให้แบรนด์ฮอนด้ายังคงเติบโตได้อย่างยั่งยืนและเป็นองค์กรที่สังคมต้องการให้ดำรงอยู่ตลอดไป”