“ยามาฮ่า” รุกตลาดรถกอล์ฟ ตั้งเป้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 เมืองไทย
ยามาฮ่า เดินหน้ารุกตลาดรถกอล์ฟ ชูจุดเด่นด้านมาตรฐานการผลิตในไทย และงานบริการหลังการขายด้วยการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 4 ปี ตั้งเป้าปี 2022 จะต้องเป็นที่ 1 ในธุรกิจรถกอล์ฟ ภายใต้สโลแกน “Drive to be No.1” คาดส่วนแบ่งการตลาดจะเติบโตขึ้น 15-20% ภายใน 3 ปี พร้อมทะยานขึ้นเบอร์หนึ่งในไทยและส่งออกสู่ตลาดโลกกว่า 12 ประเทศ
บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดตัวธุรกิจรถกอล์ฟด้วยการผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ปลายปี 2558 โดยวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับพรีเมี่ยม จนถึงปัจจุบัน รถกอล์ฟ ยามาฮ่า วายดีอาร์ ครูซ (Yamaha YDR Cruise) ได้ถูกผลิตในเมืองไทยเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศแล้วไม่ต่ำกว่า 4,000 คัน โดย รถกอล์ฟ ยามาฮ่า วายดีอาร์ ครูซ มีต้นแบบมาจากรถกอล์ฟ ยามาฮ่า ไดรฟ์ (Yamaha Drive) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้รับสิทธิบัตรส่งเสริมการลงทุน BOI จากทางรัฐบาล จนเป็นที่ยอมรับและอยู่ภายใต้มาตรฐานการผลิต (Quality Management Control) ที่เข้มงวดจากประเทศญี่ปุ่น เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ภายใต้แบรนด์ยามาฮ่าทั่วโลก
รถกอล์ฟ ยามาฮ่า วายดีอาร์ ครูซ จากโรงงานไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ถูกส่งออกไปกว่า 10 ประเทศทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, สิงค์โปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, เมียนมาร์, อินเดีย, ปากีสถาน และมัลดีฟส์ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ยามาฮ่า ยังเตรียมขยายตลาดไปอีก 2 ประเทศในอาเซียนอย่างลาวและกัมพูชาในปีนี้และปีถัดไป เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตลาดรถกอล์ฟอีกด้วย
นางสาวจินตนา อุดมทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันความต้องการเปลี่ยนรถกอล์ฟใหม่ เพื่อใช้งานในสนามกอล์ฟทั่วประเทศไทย มีอยู่ ราว 4,000 คันต่อปี คิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 760 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในตลาดมีแบรนด์หลักๆ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ไม่กี่แบรนด์ ประกอบกับธุรกิจรถกอล์ฟสามารถอำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เห็นได้ว่าในปัจจุบันรถกอล์ฟไม่ได้ถูกใช้งานแค่ในสนามกอล์ฟเท่านั้น แต่กลับมีความต้องการนำมาใช้ในธุรกิจประเภทอื่น ๆ อาทิ ธุรกิจการท่องเที่ยว, โรงแรม, รีสอร์ทและธุรกิจด้านบริการต่าง ๆ นอกจากนี้ยังขยายมาถึงภาคธุรกิจอุตสาหกรรม, นิคมโรงงาน อสังหาริมทรัพย์และภาคธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสทีดีที่ธุรกิจรถกอล์ฟจะสามารถขยายฐานตลาดให้กว้างขวางมากขึ้น”
ในปัจจุบันตลาดรถกอล์ฟเป็นที่ต้องการจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีหลากหลาย แบรนด์ที่ได้เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย อีกทั้งยังมีการนำเข้ารถกอล์ฟที่ประกอบในประเทศจีน เพื่อลดต้นทุนและสร้างความได้เปรียบทางการค้า เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศไทย แต่รถกอล์ฟภายใต้แบรนด์ยามาฮ่า นั้นเป็นที่รู้จักและยอมรับจากทั่วโลกในผลิตภัณฑ์หลาย ๆ ด้าน เราจึงมั่นใจในเรื่องคุณภาพและการบริการหลังการขาย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและข้อได้เปรียบทางการค้า นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในการออกแบบที่สวยงาม โดดเด่น ระบบช่วงล่างที่แข็งแกร่ง ทนทาน แต่ยังคงให้ความนุ่มนวลในการใช้งาน ไม่แตกต่างจากการขับรถยนต์ ซึ่งยามาฮ่ามีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ โดยมีพื้นฐานจากรถยามาฮ่า เอทีวี (Yamaha ATV) ที่โด่งดังในต่างประเทศ จึงทำให้รถกอล์ฟยามาฮ่าสามารถตอบสนองการใช้งานของลูกค้าได้เป็นอย่างดีและด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมา แม้เราจะวางตำแหน่งรถไว้ในระดับสินค้าพรีเมี่ยมเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด แต่เราสามารถรับประกันได้ถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างแน่นอน”
นอกจากนี้ นางสาวจินตนา ยังได้กล่าวถึงเป้าหมายของยามาฮ่ากับการดำเนินธุรกิจรถกอล์ฟว่า “เราต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้สูงขึ้น จากเดิมที่อยู่ราว 8-10% ภายใต้สโลแกน “Drive to be No.1” เราวางแผนที่จะขับเคลื่อนธุรกิจด้วยรถกอล์ฟที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมและตอบสนองการใช้งานของลูกค้าได้ในทุกเซ็กเม้นต์ ภายใน 3 ปี ต่อจากนี้ โดยคาดการณ์ว่าส่วนแบ่งการตลาดรถกอล์ฟยามาฮ่า จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดขึ้นไปอีก 15-20% และในปี พ.ศ. 2565 ยามาฮ่าหวังว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นที่ 1 ในตลาดได้
ทั้งนี้ ทางบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด จะเดินเกมรุกในด้านความหลากหลายของสินค้า รักษามาตรฐานคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพและการเข้าถึงบริการหลังการขายที่เป็นกันเองและรวดเร็วดังที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นเสมอมา พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสนามกอล์ฟ แต่ละสนาม โดยเข้าร่วมสนับสนุนกิจกรรมกอล์ฟของสนามพันธมิตรและรายการแข่งขันทัวร์นาเม้นต์ต่างๆ ร่วมกับภาคธุรกิจอื่น ๆ ด้วยองค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญ ความเป็นกันเอง เรามั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มศักยภาพให้สามารถแข่งขันและสร้างแบรนด์ในตลาดได้ทุกเซ็กเม้นต์ ด้วยการเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ โดยเป้าหมายและแนวทางทั้งหมดที่ยามาฮ่าวางไว้ทั้งในปีนี้และอีก 3 ปีข้างหน้านั้น เพื่อมุ่งเน้นที่จะส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพ สร้างความสุขและความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้านั่นเอง”