บ๊อช ประเทศไทย เติบโตเพิ่มขึ้นยอดขายทะลุกว่า 12 พันล้าน
บ๊อช ประเทศไทย รุกก้าวหน้าเติบโตสร้างรายได้สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 5 ปีซ้อน ยอดขายปี 2560 ทะลุ 12.8 พันล้านบาท (335 ล้านยูโร) เติบโตเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
มร. โจเซฟ ฮง กรรมการผู้จัดการ โรเบิร์ต บ๊อช ประเทศไทย เปิดเผยว่า บ๊อช ประเทศไทย เป็นตลาดที่สำคัญที่ทำรายได้สูงสุดของบ๊อชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึง 5 ปีซ้อน โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากธุรกิจยานยนต์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในการขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจด้าน IoT นอกจากนี้ในส่วนของประเทศไทยยังประสบความสำเร็จอย่างมากโดยปีงบการเงินประจำปี 2560 มียอดขาย 12.8 พันล้านบาท (335 ล้านยูโร) เติบโตเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปี 2560 บริษัทได้ลงทุนรวมมูลค่า 1.6 พันล้านบาท (มากกว่า 42 ล้านยูโร) ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจของบ๊อชในประเทศไทย ในขณะที่จำนวนพนักงานในไทยมีประมาณ 1,400 คน เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นราว 10% จากปีที่ผ่านมา
“ด้วยองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทสามารถสนับสนุนและเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor project) ของรัฐบาลไทย มีความคืบหน้าอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยได้รับการยอมรับในระดับสากล และยังได้รับคำมั่นจากหลายประเทศที่จะให้การสนับสนุนโครงการนี้ ซึ่งมีเป้าหมายขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศไทย (Thailand’s Eastern Seaboard) บ๊อชร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยและภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านการผลิตอัจฉริยะ ซึ่งเป็นไปตามแผนงานไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้ บริษัทยังได้นำโซลูชั่นส์ต่าง ๆ มาปรับใช้กับโรงงานของเราหลายแห่ง”
ปี 2560 ถือเป็นปีที่โดดเด่นสำหรับกลุ่มธุรกิจโซลูชั่นส์แห่งการขับเคลื่อนของบ๊อช โดยเติบโตขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากแผนกระบบควบคุมแชสซี (Chassis Control) และโซลูชั่นส์ระบบส่งกำลัง(Powertrain Solutions) สำหรับกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ยังคงมีการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายธุรกิจไปยังช่องทางอีคอมเมิร์ซ ในส่วนของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นในปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมการผลิตที่กำลังขยายตัว อีกทั้งการใช้จ่ายของรัฐบาลในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีอุตสาหกรรมก็มีการเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเป็นผลมาจากธุรกิจด้านระบบอัตโนมัติในโรงงาน และการสร้างรากฐานที่มั่นคงของธุรกิจอุตสาหกรรมที่เชื่อมต่อกัน (connected industry)
พร้อมกันนี้ ยังเริ่มเดินเครื่องการผลิตระบบส่งกำลังรถยนต์แห่งใหม่ ของบ๊อช ที่โรงงานผลิตระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงของ บริษัทฯ ณ นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์น ซีบอร์ด ที่ทำให้ บ๊อช สามารถรองรับฐานลูกค้าผู้ผลิตยานยนต์ที่กำลังเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มการผลิตตั้งแต่ปี 2560 และยังเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งแรกของบ๊อชในไทย ซึ่งช่วยให้บ๊อชพัฒนาโซลูชั่นส์ใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการลูกค้ายานยนต์ทั้งในและต่างประเทศ โรงงานแห่งใหม่นี้เป็นโรงงานอัจฉริยะที่พร้อมสรรพด้วยโซลูชั่นส์ของอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นของบ๊อชในด้านเทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อ และยังเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายโรงงานของบ๊อช ที่มีอยู่กว่า 250 แห่งทั่วโลก โดยในระหว่างปี 2558-2560 บ๊อชได้ลงทุนรวมกว่า 80 ล้านยูโรในโรงงานอัจฉริยะแห่งใหม่นี้
นอกจากนี้ บ๊อช ประเทศไทย ได้ขยายโครงการพัฒนาเยาวชน ซึ่งครอบคลุมการฝึกอบรมทักษะวิชาชีพและการพัฒนาอาชีพแก่เยาวชนผู้ด้อยโอกาส เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเหล่านั้นเติบโตขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพแขนงต่างๆ ของประเทศในอนาคต บ๊อชให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องแก่องค์กรที่ไม่แสวงผลกำไรต่าง ๆ อาทิ มูลนิธิทักษะเพื่อชีวิต และมูลนิธิมือต่อมือ อันเป็นสิ่งที่บ๊อชให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ในปีที่ผ่านมา โดยบ๊อชมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะวิชาชีพแก่เยาวชน พร้อมจัดเวิร์กช็อป Train-the-trainer เพื่อส่งเสริมความสามารถของพวกเขาโดยใช้ความชอบและหลงใหลของเหล่าเยาวชนประกอบกับการเรียนรู้ลงมือทำจริง นอกจากนี้ บ๊อชยังให้การสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องครัวและเครื่องมือไฟฟ้าในห้องฝึกอบรมอาชีพเหล่านี้ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เกิดจากการได้ลงมือปฏิบัติจริง และสร้างแรงบันดาลใจต่อยอดให้เยาวชนมีอิสรภาพทางการเงินในอนาคต เราเชื่อในความสำคัญของการลงทุนเพื่ออนาคตของชุมชนของเราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการศึกษาและการพัฒนาทักษะวิชาชีพ เราหวังว่าเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ จะนำทักษะและประสบการณ์ ไปใช้เพื่อพัฒนาชุมชนของตน เพื่ออนาคตที่เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
สำหรับกลยุทธ์และทิศทางธุรกิจปี 2561 กลุ่มบ๊อชมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตในปี 2561 ท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจโลกที่ขาดสภาพคล่อง ถึงแม้จะต้องพบกับสถานการณ์ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่จากผลประกอบการที่ดีเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทบ๊อชจึงตั้งเป้ายอดขายเติบโตร้อยละ 2-3 ในปี 2561 ซึ่งในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ ยอดขายของบริษัทก็อยู่ในระดับสูงสอดคล้องกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และหากปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ก็พบว่ายอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
“บริษัทของเราเป็นที่สุดแห่งการผสานความชำนาญด้านเทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมเข้ากับองค์ความรู้ด้านอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย นับเป็นจุดขายที่โดดเด่นของกลุ่มบ๊อช” ดร. โวคมาร์ เดนเนอร์ ซีอีโอของกลุ่มบ๊อช กล่าวในงานแถลงข่าวของบริษัทที่จัดขึ้นในเมืองเรนนิงเก็น ดร.เดนเนอร์ มองว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการสนับสนุนด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาวะอากาศนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่สุดประการหนึ่งของบ๊อช “แนวคิด ‘เทคโนโลยีเพื่อชีวิต’ (Invented for Life) ของบ๊อช เป็นแรงกระตุ้นให้กับเราในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมที่สุดเพื่อสิ่งแวดล้อม เรามุ่งหวังที่จะช่วยให้การเดินทางไปมาทำได้อย่างสะดวกสบาย ในขณะเดียวกันก็สามารถปรับปรุงคุณภาพอากาศไปในตัวอีกด้วย
เพื่อช่วยให้การจราจรที่ส่งผลต่อมลภาวะน้อยที่สุดเกิดขึ้นได้จริง บริษัทจึงลงทุนอย่างมหาศาล ทั้งในด้านการพัฒนาการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า(electromobility) และการพัฒนาระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยในปัจจุบัน บ๊อชได้พัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลที่ล้ำหน้า ซึ่งช่วยให้บ๊อชประสบความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องยนต์ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ลงไปได้อย่างมาก โดยเฉลี่ย ยานยนต์ทดสอบที่ติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ จะปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ออกมาไม่เกิน 13 มิลลิกรัมต่อกิโลเมตร “นี่คืออนาคตของเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแห่งอนาคต” ซีอีโอของบ๊อช กล่าว (ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีล้ำหน้าเหล่านี้ได้ที่ https://bit.ly/2HSU8GW)
สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในปี 2560 บ๊อชมียอดขาย 23.6 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13.5 (ร้อยละ 16.5 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ปัจจุบัน บ๊อช มียอดขายในเอเชียแปซิฟิกคิดเป็นร้อยละ 30 ของยอดขายทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มียอดขายสัดส่วนร้อยละ 27