NCI โปรเจกต์ใหม่ “นวัตกรรมคัดกรองมะเร็งเต้านมจากเลือด”
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute: NCI) ชี้สตรีไทยอายุ 60 ปีขึ้นไปเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น แนะสังคมไทยเพิ่มความตระหนักรู้ในภัยเงียบของโรคมะเร็งเต้านมและตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ พร้อมเผยความคืบหน้าโครงการวิจัยนวัตกรรมคัดกรองมะเร็งเต้านมแบบใหม่ด้วยการตรวจเลือด คาดช่วยลดอัตราการเสียชีวิต เพิ่มโอกาสคนไทยเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในเบื้องต้นได้ในวงกว้าง
นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยถึงสถานการณ์ล่าสุดของโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย โดยอ้างอิงจากสถิติสาธารณสุขจากทะเบียนมะเร็งประเทศไทยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ในปีพ.ศ.2557 พบว่า ในแต่ละปี ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 13,000 รายนอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มอายุ และสูงที่สุดในช่วง 55-60 ปี
ที่น่าสังเกตอีกว่า อุบัติการณ์การเป็นมะเร็งเต้านมได้เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอายุ ขณะเดียวกัน ตัวเลขดังกล่าวยังบ่งชี้ด้วยว่าผู้หญิงอายุน้อยตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ก็มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านมเช่นกัน ด้วยเหตุนี้สังคมต้องเริ่มตื่นตัวเพื่อรู้เท่าทันภัยเงียบนี้ เพราะหากตรวจพบไวก็จะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากขึ้น โดยผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ทุกช่วงอายุมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้ทุกคน จึงแนะนำให้หมั่นสังเกตความผิดปกติด้วยตนเอง และตรวจสุขภาพเต้านมเป็นประจำด้วยการคลำโดยบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งพิจารณาเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมเพิ่มเติมเมื่อมี อายุ 40 ปีขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม การตรวจคัดกรองโรคทั้งสองวิธีนี้ให้แก่ประชาชนในวงกว้าง ยังมีข้อจำกัดในด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ และแม้ว่าการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรม จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในปัจจุบัน แต่มีต้นทุนสูงไม่คุ้มค่าสำหรับประเทศไทย หากจะนำมาเป็นนโยบายในการตรวจคัดกรองเบื้องต้นให้กับผู้หญิงทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 40-50 ปีขึ้นไป
เพื่อแก้ไขปัญหานี้และช่วยให้คนไทยเข้าถึงบริการคัดกรองมะเร็งเต้านมให้มากขึ้นในราคาที่ถูกลง สถาบันมะเร็งแห่งชาติจึงได้ริเริ่มโครงการวิจัยพัฒนาวิธีคัดกรองมะเร็งเต้านมแบบใหม่ ด้วยการตรวจสารบ่งชี้ในเลือดมาตั้งแต่ปี 2558 ภายใต้การสนับสนุน จากภาคเอกชนต่างๆ อาทิเช่น “วาโก้” ซึ่งสนับสนุนงานวิจัยชิ้นนี้มาต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และยังจัดกิจกรรมการกุศลเพื่อหารายได้มาจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย รวมถึงการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมยากไร้ เพื่อผู้หญิงไทยปลอดภัยจากมะเร็งเต้านม
ร.อ.นพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล และหัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการว่า ขณะนี้งานวิจัยได้คืบหน้าไปอีกขั้น โดยอยู่ในช่วงเฟส 2-3 ซึ่งทำคู่ขนานไปพร้อมกัน ซึ่งช่วยให้ประหยัดเวลาการดำเนินโครงการไปได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี จากการค้นหาสารชีวโมเลกุลในเลือด (biomarker) ของกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะต่างๆ เปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่มีก้อนเต้านมผิดปกติแต่ไม่ใช่มะเร็ง และเลือดในคนปกติ จำนวน 1,784 ชนิด จนสามารถคัดแยกสารเอกลักษณ์ที่มีความเป็นไปได้รวม 64 ชนิด
เนื่องจากมะเร็งแต่ละระยะจะมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน ทำให้องค์ประกอบในเลือดมีทั้งที่เหมือนและแตกต่างกัน ขณะนี้ ทีมวิจัยอยู่ในช่วงการตรวจสอบความถี่ของสารแต่ละตัว เพื่อคัดเลือกสารชีวโมเลกุลที่มีโอกาสพบสูงสุดในมะเร็งเต้านมแต่ละระยะ ก่อนนำมาสร้างรูปแบบของการแสดงออก เพื่อคัดแยกมะเร็งเต้านมแต่ละระยะออกจากกัน
ถ้าหากผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาด ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการพัฒนาสารที่มีความไวมากพอที่จะทำปฏิกิริยากับสารชีวโมเลกุลเหล่านี้พัฒนาเป็นอุปกรณ์เพื่อตรวจวัดให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
“หากประสบผลสำเร็จ งานวิจัยชิ้นนี้ก็จะเป็นเสมือนความหวังใหม่ที่ช่วยให้ ผู้หญิงไทยสามารถเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งที่มีประสิทธิภาพได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เพื่อช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านมในอนาคต”