web analytics

ติดต่อเรา

การรวมทีมของนักแข่งระดับตำนานบนสนาม Nürburgring Nordschleife

ก่อนถึงเวลาที่ธงเขียวจะโบกสะบัดในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ อันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ รายการ Nürburgring 24 ชั่วโมง ปอร์เช่ กำลังจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่บรรดาแฟน ๆ ในสนามกว่า 200,000 ชีวิต ด้วยคู่นักแข่งระดับตำนาน Timo Bernhard และ Hans-Joachim Stuck คือ 2 นักแข่งมากฝีมือที่ได้รับเกียรติ ให้ขับรถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด อีโว (Porsche 919 Hybrid Evo) และปอร์เช่ 956 ซี (Porsche 956 C) บนเส้นทางของสนามแข่งที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมายาวนานอย่าง Nordschleife (หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘Northern Loop’)

รถแข่ง ปอร์เช่ 919 ไฮบริด (Porsche 919 Hybrid) คือยนตรกรรมสายพันธุ์แรงเจ้าของตำแหน่งแชมป์รายการ Le Mans และแชมป์รายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ FIA World Endurance Championship นับตั้งแต่ฤดูกาล 2015, 2016 และ 2017 สืบทอดความเกรียงไกรของรถแข่งรุ่นโปรโตไทป์ในอดีตปอร์เช่ 956 ซี (Porsche 956 C) ซึ่งเคยคว้าแชมป์ overall มาแล้วในรายการแข่งขัน World Sportscar Championship ช่วงระหว่างปี 1982 ถึง 1984 และยังเป็นเจ้าของสถิติ ความเร็วต่อรอบสูงสุดบนสนาม Nordschleife จนถึงทุกวันนี้

การวิ่งบนเส้นทาง Nordschleife ในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของรถแข่ง ปอร์เช่ 919 อีโว (Porsche 919 Evo) ที่ปรากฎตัวต่อสายตาสาธาณชน ภายใต้สมรรถนะใหม่ของตัวรถที่ปราศจากพันธนาการอันเข้มงวดของกฎข้อบังคับที่ใช้ ในการแข่งขันดังเช่นที่เคยเป็นมา ทั้งนี้ปอร์เช่เพิ่งทำลายสถิติระยะเวลาต่อรอบที่เร็วที่สุดบนสนาม Spa-Francorchamps ไป เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2018 ที่ผ่านมา จากการควบคุมพวงมาลัยของ Neel Jani (สวิสเซอร์แลนด์) นักแข่งทีมโรงงาน ซึ่งเวลาที่เขาทำได้ภายในระยะทาง 7.004 กิโลเมตร ของสนามที่ตั้งอยู่ในประเทศเบลเยี่ยมแห่งนี้ คือ 1:41.770 นาที การขับขี่ของเขาในรอบสนามนี้เร็วกว่าที่รถแข่ง Formula One วันเคยทำได้ ทุบสถิติก่อนหน้าลงอย่างราบคาบด้วยเวลา ที่เร็วกว่า 0.783 วินาที จากฝีมือของ Lewis Hamilton (สหราชอาณาจักร) หลังพวงมาลัยรถแข่ง Mercedes F1 W07 Hybrid และผลจากเวลาที่ทำได้ทำให้เขาคว้าอันดับโพลไปในการแข่งขันรถยนต์สูตรหนึ่งของสนามนี้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว สำหรับการโชว์ตัวที่ Nordschleife นับเป็นจุดหมายลำดับที่ 2 ของกิจกรรม ‘919 Tribute Tour’ อย่างไรก็ตาม งานนี้ไม่ต้องอาศัยนาฬิกาจับเวลาเข้ามาตัดสินความเหนือชั้นของรถแข่งทั้ง 2 คัน การขับขี่รอบสนามจะดำเนินไปด้วย การนำของรถ safety car เป็นการวิ่งผ่านจุดปล่อยตัวและเส้นชัยในลักษณะเดียวกับเส้นทางที่ใช้ในการแข่งขันรายการ  24 ชั่วโมง

ทีมแข่งปอร์เช่ รวมทั้ง Timo Bernhard และ Hans-Joachim Stuck พร้อมด้วย รถแข่งทั้ง 2 คันล้วนมีความคุ้นเคยและใกล้ ชิดกับสนาม Nürburgring และเส้นทาง Nordschleife เป็นอย่างดี

Timo Bernhard นักขับรถแข่งมืออาชีพชาวเยอรมัน วัย 37 ปี คือหนึ่งในยอดฝีมือผู้ครองตำแหน่งแชมป์ รายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ FIA World Endurance และในระหว่างการแข่งขันฤดูกาล 2017 เขายังสามารถเอาชนะ รายการ Le Mans 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังคว้าชัยในตำแหน่งชนะเลิศเป็นรายการที่ 3 จากการแข่งขัน Nüburgring 6 ชั่วโมง รวมทั้งความสำเร็จในอาชีพนักแข่งรถของเขาอีกมากมายทั้งในฤดูกาล 2015 และ 2016 จากการประจำการหลังพวงมาลัย ของรถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด (Porsche 919 Hybrid) ผลงานอันยอดเยี่ยมอื่นๆ ที่เขาสั่งสมไว้ได้แก่การคว้า อันดับหนึ่งได้ถึง 5 ครั้งจากการแข่งขันรายการ Nürburgring 24 ชั่วโมง ภายใต้สังกัดทีมแข่งปอร์เช่ซึ่งเป็นสถิติ ผู้ชนะเลิศสูงสุดประจำรายการ ฤดูกาล 2018 นี้ เขาลงมือสร้างทีมแข่งของตนเองขึ้นมา โดยใช้ชื่อทีมว่า Team75 Bernhard เข้าร่วมการประลองความเร็วในระดับนานาชาติด้วยรถแข่งปอร์เช่ 911 จีที 3 อาร์ (Porsche 911 GT3 R)

สำหรับฤดูกาลแข่งขันปัจจุบัน Bernhard ในฐานะนักขับทีมโรงงานปอร์เช่ ซึ่งเขาได้ผันตัวเองเข้าลงชิงชัยในการแข่งรุ่น GT Masters และรุ่น GTE ของรายการ Le Mans ได้กล่าวไว้ว่า “Nordschleife เปรียบได้กับสนามหลังบ้านของผม ในวัยเด็กผมเคยท่องเที่ยวไปทั่วเทือกเขา Eifel พร้อมกับคุณพ่อ ไม่มีสนามแข่งแห่งใดจะเสมอเหมือนถนนที่เต็มไปด้วยความคดโค้งเป็นระยะทางมากกว่า 20 กิโลเมตรของที่นี่” นอกจากนี้ Timo Bernhard ยังได้กล่าวระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของ Stefan Bellof อีกหนึ่งตำนานนักขับผู้ซึ่งเสียชีวิตในสนาม Spa ในปี 1985 “ฝีไม้ลายมือที่ยอดเยี่ยมของ Stefan Bellof นั้น ไม่ใช่สิ่งเดียวของเขาที่ผมประทับใจ” เขาอธิบายต่อไปว่า “Stefan Bellof เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รู้จักกับเขา จะต้องอดไม่ได้ที่จะเลื่อมใสศรัทธาในตัวเขา การขับบนเส้นทาง Nordschleife อันเป็นสถิติที่ยังไม่มีใครสามารถทำได้ในปี 1983 นั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติความเป็นมาของรถแข่งปอร์เช่ 956 ซี (Porsche 956 C) พร้อมๆ กับรถแข่งปอร์เช่ 919 อีโว (Porsche 919 Evo)”

วันที่ 28 พฤษภาคม 1983 ในระหว่างการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมแข่งขันรายการระยะยาว 1000 กิโลเมตร Bellof ขับรถแข่งรอบสนามความยาวรวม 20.835 กิโลเมตรในขณะนั้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือตัวเลขความเร็วเฉลี่ยมากกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยพละกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์ 6 สูบนอน ขนาดความจุ 2,649 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศเทอร์โบ ชาร์จคู่ ขุมพลังที่ประจำการอยู่ในปอร์เช่ 956 ซี (Porsche 956 C) ให้กำลังสูงสุดถึง 620 แรงม้า  รถแข่งของ Bellof มีหมายเลขตัวถัง 007 ในการแข่งขันครั้งนั้นเขาได้ขึ้นเป็นผู้นำจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงในบริเวณที่มีชื่อว่า ‘Pflanzgarten’ แต่เขาสามารถเดินออกมาจากสนามโดยไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น 1 ปีหลังจากนั้นในฤดูกาล 1984 เขากลับมาล้างตาได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยการเอาชนะการแข่งขัน Nürburgring 1000 กิโลเมตร โดยเป็นการขับขี่ร่วมกับเพื่อน นักแข่งชาวอังกฤษ Derek Bell ในรถแข่งปอร์เช่ Rothmans 956 C

ในช่วงการแข่งขัน World Endurance Championship ฤดูกาล 1984 นั้น มีครั้งหนึ่งที่ Stefan Bellof ได้ขับรถแข่งปอร์เช่ 956 (Porsche 956) ร่วมกับนักขับชาวเยอรมันที่มีนามว่า Hans-Joachim Stuck ถึงแม้ว่าการลงสนามครั้งนั้น ตัวรถจะเกิดความเสียหายจากการขับขี่ของ Stuck และจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซม แต่ทั้งคู่กลับสามารถเอาชนะ ในรายการ Imola 1000-กิโลเมตรได้ “การแข่งที่อิตาลีในวันนั้นมีความสำคัญต่อผมอย่างมาก” Stuck ในวัย 67 ปี กล่าวย้อนรำลึกถึงอดีต “ในขณะนั้นตัวผมเองยังไม่คุ้นเคยกับรถแข่งปอร์เช่ 956 (Porsche 956) และเป็น Stefan ที่ช่วยแนะนำผมถึงวิธีการขับรถสุดพิเศษคันนี้ ผมได้เรียนรู้หลายสิ่งที่ยอดเยี่ยมจากเขา ในวันที่ผมเข้าร่วมกับทีมแข่งปอร์เช่ เป็นวันที่ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า เพราะเหตุใดรถแข่งคันนี้ถึงไร้คู่ต่อกร คุณไม่เคยต้องกังวลเรื่องประสิทธิภาพของเกียร์ ระบบเบรกทำงานได้อย่างสุดยอดและต้องยกประโยชน์ให้ตัวรถที่สร้างแรงกดระดับมหาศาล คุณสามารถขับรถคันนี้เข้า โค้งได้ด้วยความเร็วสูงมากจนไม่น่าเชื่อ ราวกับว่ารถคันนี้ถูกยึดติดกับพื้นถนนก็ว่าได้ สำหรับผมมันเป็นประสบการณ์ และโอกาสที่ดีระดับ world-class เมื่อได้ขับปอร์เช่ 956 บน Nordschleife อีกครั้ง และเป็นความรู้สึกที่ยากจะเอ่ย ออกมาเป็นคำพูด”

นอกจากความสำเร็จมากมายที่ Stuck ได้สร้างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการคว้าชัยชนะ 2 ฤดูกาลในรุ่น overall ที่ Le Mans เมื่อปี 1986 และ 1987 ด้วยการขับขี่ปอร์เช่ 962 C รถแข่งผู้สืบทอดตำนานของปอร์เช่ 956 (Porsche 956) เขายัง สามารถเอาชนะในรายการ  Nürburgring 24 ชั่วโมง อีก 3 สมัย ในขณะที่เป็นนักแข่งในสังกัดทีม BMW

ทั้งนี้ รถแข่งปอร์เช่ 956 ซี (Porsche 956 C) คันที่ Stuck ขับโชว์รอบสนาม Nürburgring มีหมายเลขตัวถัง 005 เคยเป็นรถแข่งคู่ใจของ Jacky Ickx (เบลเยี่ยม) และ Jochen Mass (เยอรมัน) โดยเขาทั้งคู่ขับขี่รถคันดังกล่าว เข้าร่วมการแข่งขันรายการ world championship ในฤดูกาล 1984 ด้วยเหตุผลเชิงพาณิชย์ บ่อยครั้งที่คำว่า Rothmans ในฐานะผลิตภัณฑ์ยาสูบผู้ให้การสนับสนุนทีม แข่งอย่างเป็นทางการซึ่งได้รับ การติดตั้งอยู่บนตัวถังรถ ถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘Racing’ และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับรถแข่งหมายเลขตัวถัง 007 คันที่ Bellof ขับทำสถิติระยะเวลาต่อรอบ รวมทั้งเกิดขึ้นกับรถคันที่ Stuck จะขับในวันที่ 12 พฤษภาคม นี้เช่นเดียวกัน

 

ปอร์เช่ 919 ไฮบริด อีโว (Porsche 919 Hybrid Evo)

เช่นเดียวกับ 956 ปอร์เช่ 919 ไฮบริด (Porsche 919 Hybrid) คือรถแข่งสมรรถนะสูงที่เปี่ยมไปด้วย นวัตกรรมล้ำสมัยที่สุดในช่วงเวลาที่มันโลดแล่นอยู่บนสนาม ความสำเร็จของรถแข่ง คลาส 1 Le Mans Prototype เกิดขึ้น หลังการเข้าร่วมประลองความเร็วในรายการ FIA WEC ตั้งแต่ฤดูกาล 2014 จวบจนกระทั่งหน้าที่ของมัน ถูกยุติลงเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2017 รถแข่งคันนี้ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ V4 ที่มีขนาดความจุกระบอกสูบเพียง 2.0 ลิตร พร้อมระบบชาร์จพลังงานแปรผันที่แตกต่างกันถึง 2 รูปแบบ หนึ่งคือ พลังงานไฟฟ้าที่ได้จากระบบ เบรกของเพลาคู่หน้า และ 2 คือพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากการระบายไอเสียไปหมุนกังหันเทอร์ไบน์ด้วยความเร็วสูงกว่า 130,000 รอบต่อนาที พลังงานจาก 2 ระบบดังกล่าวจะได้รับการเก็บสะสมไว้ชั่วคราวในแบตเตอรี่ liquid-cooled lithium ion เครื่องยนต์สันดาปภายในรับหน้าที่ขับเคลื่อนเพลาคู่หลัง ในขณะที่ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรับบทบาทขับ เคลื่อนเพลาคู่หน้า หมายความว่ารถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด (Porsche 919 Hybrid) สามารถเร่งออก ตัวได้อย่างเหนือชั้นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ four-wheel drive และได้รับพลังงานย้อนกลับส่วนหนึ่งจากการทำงาน ของระบบระบายไอเสีย

สำหรับการเตรียมพร้อมเพื่อทำลายสถิติความเร็วในครั้งนี้ ปอร์เช่ใช้พื้นฐานจากตัวรถที่คว้าแชมป์โลกในฤดูกาล 2017 ปรับแต่งเพิ่มเติมด้วยแนวทางการพัฒนาที่จัดเตรียมไว้เพื่อรถที่จะลงแข่งขันในรายการ 2018 WEC แต่ยังไม่ได้ใช้จริง เนื่องจากการถอนตัวจากรายการดังกล่าวหลังจากเสร็จสิ้นฤดูกาล 2017 นอกเหนือจากนี้คืออุปกรณ์เพิ่มเติมด้านอากาศ พลศาสตร์ที่ผลิตขึ้นใหม่

Comments

comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *