ฮิตาชิเอลลิเวเตอร์ ครองยอดขาย 55% ของกทม. ตั้งเป้าเพิ่ม 1,100 ยูนิตในปีนี้
ฮิตาชิเอลลิเวเตอร์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิต จำหน่าย ติดตั้ง และบริการบำรุงรักษาลิฟต์ บันไดเลื่อน และทางเลื่อน HITACHI เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เตรียมพร้อมขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน ตอบโจทย์ประเทศไทยยุค 4.0 กับการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการขยายตัวระบบขนส่งมวลชน ตั้งเป้าปีนี้จะสามารถทำยอดเพิ่มขึ้นถึง 1,100 ยูนิต
นายไมเคิล ถัง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิตาชิเอลลิเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “จากภาวะเศรษฐกิจระดับมหภาคค่อนข้างดีและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทำให้ผลประกอบการของบริษัทเป็น [Order received Units] เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2560 แต่โครงการพัฒนาสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของรัฐบาล เช่น โครงการขยายรถไฟฟ้า, โครงการพัฒนาท่าอากาศยาน ก็ส่งผลดีต่อการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาทิ โครงการที่พักอาศัย โรงแรมและห้างสรรพสินค้า ในพื้นที่โดยรอบอื่น ๆ เพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% ทำให้การเติบโตของลิฟต์ฮิตาชิ มีความพร้อมในการผลิต การขาย และบริการ ซึ่งมั่นใจว่าเราจะก้าวสู่ศูนย์กลางการผลิต New Mass Products ขยายไปยังตลาดเอเซีย
แนวโน้มตลาดลิฟต์ฮิตาชิ ในเมืองไทย ซึ่งความต้องการลิฟต์และบันไดเลื่อนที่ทางฮิตาชิ ได้ประมาณการไว้ในปี 2560 ประมาณ 5,400 ยูนิต และในปี 2561 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6,000 ยูนิต โดยในส่วนของภาครัฐ 40% และภาคเอกชน อยู่ที่ 60% ซึ่งมั่นใจว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น อาจเป็นผลจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ เช่น BTS และ MRT ทำให้ความต้องการของธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า และโครงการก่อสร้างมีการเติบโตสูงมาก โดยสัดส่วนการขายหลักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครประมาณ 55% มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นที่มาจากการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งทำให้การเติบโตของอาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย รวมไปถึงศูนย์การค้าย่านชานเมืองที่เพิ่มมากขึ้น โดยอาคารประเภทที่อยู่อาศัยหลัก ๆ คือ คอนโดมิเนียมหรูหรา ราคาสูงอยู่ใจกลางเมือง และคอนโดที่มีความสูงไม่มากและราคาไม่สูงเกินไป นอกจากนี้ ยังมีทาวน์เฮาส์สไตล์หรูย่านชานเมืองสำหรับครอบครัวใหญ่, โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อผู้สูงอายุ ซึ่งสาเหตุมาจากสังคมผู้สูงอายุที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมองว่าลูกค้าให้สนใจในระบบความปลอดภัยมากที่สุด
นอกจากนี้ เทรนด์ของการพัฒนาในปีนี้ ยังคงต่อยอดการพัฒนาด้านนวัตกรรมที่อยู่อาศัย และการพัฒนาในรูปแบบของ Mixed-use มากขึ้น โดยรวมอาคารสำนักงาน โรงแรม ที่อยู่อาศัย และห้างสรรพสินค้า รีเทลไว้ด้วยกันเกิดเป็นแม่เหล็กดึงดูดความเจริญในพื้นที่ได้อย่างดี และเริ่มยังให้ความสำคัญกับสังคมผู้สูงอายุ โดยในปีนี้น่าจะมีการออกแบบ Elderly Care ที่ใส่ใจผู้สูงอายุในผลิตภัณฑ์กลุ่มอสังหาฯ มากขึ้น
นายไมเคิล กล่าวเพิ่มเติม ส่วนภาพรวมของลิฟต์ในเมืองไทย มีการเติบโตประมาณอยู่ที่ 5-10% โดยธุรกิจลิฟต์ฮิตาชิ ก็มีอัตราการเติบโตในอัตราเดียวกัน ปัจจุบัน มีแผนการขยายการลงทุนไปยังกลุ่มอาเซียน ได้แก่ เมียนมาร์ และกัมพูชา และมีโรงงานผลิตลิฟต์ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร กม. 57 (เฟส 9) โดย สยามฮิตาชิเอลเวเตอร์ ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2,500 ตัว และตั้งเป้าในการเพิ่มการผลิตอีก นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ โดยปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวบันไดเลื่อนตัวใหม่ TX series ที่มีนวัตกรรมทันสมัย และมีความปลอดภัยสูงสุด และยังจะขยายการขาย UAG-SN1 (ไร้ห้องเครื่อง) ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ผลิตที่เมืองไทย ทั้งตลาดไทย และส่งออกไปต่างประเทศด้วย ซึ่ง UAG-SN1 เหมาะกับอาคาร low-mid rise และโครงการที่นิยม simple design ไม่ต้องตกแต่งมาก เช่น คอนโดขนาดกลาง-เล็ก หรือ หอพัก ฯลฯ ราคาก็สูงมาก และมีคุณภาพสูงตามมาตรฐานญี่ปุ่น “ฮิตาชิ” ยังได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าจากโครงการขนาดใหญ่ อาทิ Intercontinental Hotel Phuket, Interlink Tower, Icon Siam, Rama 9 Hospital, The Market by Platinum, Pantip Plaza, Ngamwongwan, Siriraj Hospital, Ekamai Mall, V Condo Series และอื่น ๆ
ฮิตาชิเอลลิเวเตอร์ (ประเทศไทย) มั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากการเป็นแบรนด์ของญี่ปุ่นที่ได้รับความเชื่อถือในเรื่องของชื่อเสียงและการดีไซน์แล้ว ยังมีโรงงานการผลิตตั้งอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งนอกจากการผลิตแล้วยังดูแลในเรื่องของอะไหล่ได้ทันที อีกทั้งยังมีพนักงานช่าง 250-500 คน ไว้คอยบริการ ซึ่งปัจจุบัน มีศูนย์บริการ 15 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่, พิษณุโลก, ขอนแก่น, นครราชสีมา, พัทยาประจวบคีรีขันธ์, ระยอง, สงขลา ภูเก็ต และปีนี้จะเปิดศูนย์บริการเพิ่มที่ จังหวัดอุดรธานี ส่วนในพื้นที่กรุงเทพฯ มีทั้งหมด 5 แห่ง คือ ปทุมวัน, เพชรบุรี, รามอินทรา, วิภาวดี และหนองแขม เพื่อบริการลูกค้าได้ทันเวลาทันเหตุการณ์ สร้างความมั่นใจแก่ลูกค้ากับบริการด้วยระบบ Call Center 0-2641-3030 และระบบบริการ Quick Team ที่จะมาถึงภายใน 45 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง