6 เคล็ดลับเที่ยวสงกรานต์ ขับขี่ทางไกลอย่างปลอดภัย
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง ขณะที่หลาย ๆ คนกำลังเคาท์ดาวน์เตรียมท่องเที่ยวหรือเดินทางกลับบ้านเพื่อใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวกับครอบครัว ภาครัฐเองก็เตรียมนับถอยหลัง “7 วันอันตราย” เพื่อเฝ้าระวังอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างจริงจัง สิ่งที่น่าสนใจคือถึงแม้จะมีมาตรการเฝ้าระวังของภาครัฐ ทั้งการตั้งด่านตรวจ รวมไปถึงการรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยอย่างเข้มงวด แต่สถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนช่วง 7 วันอันตรายสงกรานต์ปี พ.ศ. 2558-2560 ระบุว่าถึงแม้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะลดลง แต่จำนวนการเกิดอุบัติเหตุกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DMHT เชื่อมั่นว่าการสร้างความปลอดภัยบนถนนที่ยั่งยืน ต้องอาศัยทั้งมาตรการของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงกระตุ้นจิตสำนึกการใช้ถนนอย่างรับผิดชอบ DMHT ได้แนะนำ 6 เคล็ดลับเดินทางไกลอย่างปลอดภัยในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งจะช่วยสร้างทั้งความสนุกและความอุ่นใจไม่ว่าจะทริปไหน ๆ
1.พักผ่อนนอนให้หลับ
การขับรถระยะไกลติดต่อกันเป็นเวลานานโดยที่ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ อาจทำให้ผู้ขับรู้สึกเหนื่อยล้าจนเกิดอาการหลับในขณะขับรถได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะการหลับในเพียง 4 วินาที อาจพรากทั้งชีวิตผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ ได้เลย แต่เหตุการณ์เช่นนี้สามารถป้องกันได้เพียงแค่นอนหลับให้เพียงพอไม่น้อยกว่า 7-8 ชม. ช่วง 2-3 วันก่อนการเดินทาง เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด หรือหากรู้สึกง่วงหรือเหนื่อยล้าระหว่างขับรถทางไกล และไม่มีคนอื่นมาผลัดเปลี่ยนขับรถ ให้แวะพักที่จุดพักรถ ไม่ควรฝืนขับรถต่อ
2.ก่อนจะขับจับแผนที่
ก่อนออกเดินทาง ควรเตรียมความพร้อมด้วยการวางแผนเส้นทางอย่างละเอียดทุกครั้ง โดยศึกษาตำแหน่งจุดหมายปลายทางและเลือกเส้นทางที่ปลอดภัย หากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง การวางแผนการเดินทางล่วงหน้าช่วยให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและเร็วขึ้นอีกด้วย
3.รถราดูให้ดี
นอกจากร่างกายที่พร้อมแล้ว อย่าลืมตรวจเช็คสภาพรถอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเพื่อความปลอดภัยตลอดการเดินทาง โดยจุดหลักๆ ที่ควรตรวจสอบ ได้แก่ ยางรถยนต์ ระบบหล่อเย็น น้ำมันเครื่อง ผ้าเบรก ระบบไฟ และแบตเตอรี่ ที่สำคัญจะเดินทางอย่างปลอดภัยต้องไม่ลืมที่จะคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนออกรถทุกครั้ง
4.อุปกรณ์ฉุกเฉินอย่าลืมมี
การเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามเพราะดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น อุปกรณ์เหล่านี้สามารถบรรเทาหนักให้กลายเป็นเบาได้ นอกจากยาสามัญและชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ควรมีประจำรถยนต์เสมอแล้ว เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินก็จำเป็นเช่นกัน โดยเบอร์ที่ควรมีบันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือ เช่น เบอร์ 191 (แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย), 1543 (แจ้งอุบัติเหตุบนทางด่วน), 1669 (สายด่วนเรียกรถพยาบาล), 1554 (หน่วยแพทย์กู้ชีพ วชิรพยาบาล) เป็นต้น
5.ตอนขับขี่งดใช้โทรศัพท์
การใช้โทรศัพท์ขณะขับรถอาจเป็นสิ่งที่หลายคนเคยชิน แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมเช่นนี้เป็นภัยใกล้ตัว ที่ไม่ควรมองข้าม หากมีเหตุจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ เช่น ดูแผนที่ หรือตรวจสอบเส้นทาง ควรให้เพื่อนร่วมทางเป็นผู้ช่วยดู หรือหากเดินทางคนเดียว ควรจอดแวะที่จุดพักข้างทางแล้วทำธุระให้เรียบร้อย เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและเพื่อนร่วมถนน
6.ก่อนและขณะขับแอลกอฮอล์เป็นศูนย์
ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และจำเป็นต้องเดินทาง ควรเรียกใช้บริการรถสาธารณะ เช่น รถตู้ กรณีต้องขับรถเอง ห้ามขับหลังดื่มทันที แต่ควรรอจนแอลกอฮอล์ถูกขับออกจากร่างกายตามหลัก “ดื่มมาตรฐาน” ก่อนเสมอ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและผลกระทบแก่ผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณดื่มมาตรฐานและข้อมูลเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบครอบคลุมได้เพิ่มเติมที่ https://www.drinkiq.com/th-th/
ถึงแม้มาตรการเฝ้าระวังของรัฐบาลจะช่วยลดสถิติผู้เสียชีวิตได้ระดับหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเริ่มจากการ “ปรับ” พฤติกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนนเสียก่อน เพื่อป้องกันปัญหาที่ต้นเหตุและเสริมสร้างความปลอดภัยอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับพันธกิจของ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัดที่ส่งเสริมการเมาไม่ขับ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของอุบัติเหตุบนท้องถนน เพราะเชื่อว่าการให้ความรู้และเปลี่ยนพฤติกรรมคนหนึ่งคน สามารถลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุและตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งผู้ขับ และผู้ที่จะได้รับผลกระทบต่อไปด้วย โดยนอกจากการให้ความรู้เรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปริมาณดื่มมาตรฐานผ่านโครงการ DRINKiQ ดิอาจิโอ ยังนำเทคโนโลยี Virtual reality 360 องศา มาให้ความรู้ผู้บริโภคอย่างเห็นภาพจริง ในวีดีโอ “Decisions” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ“เมาไม่ขับ กลับปลอดภัย” ของดิอาจิโอที่ทำต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 8
