Nissan Leaf 2018 มหัศจรรย์แห่งการขับเคลื่อนสีเขียว
เรื่อง: Sirote petchjamroensuk
เมื่อนึกถึงความประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว รถยนต์ต่างค่ายหลากเชื้อชาติต่างตีโจทย์การสร้างพาหนะด้วยแนวทางแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการลดขนาดเครื่องยนต์ลง แล้วทำให้มีประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น บางค่ายนำระบบผสมผสานการขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้ามาร่วมกันทำงาน และบางค่ายอย่างนิสสันก็เปิดสายพานการผลิตกับยานยนต์พลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบอย่างลีฟ ออกมาสู่มือผู้บริโภค จนได้เสียงตอบรับอย่างดีทั้งในญี่ปุ่น ยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกา
ชื่อลีฟ (Leaf) นั้นแปลตรงตัวถึง ใบไม้สีเขียว ซึ่งนิสสันนำมาใช้เป็นชื่อรุ่นสะท้อนถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างตรงไปตรงมา ก่อนสัญลักษณ์ของสีฟ้า อันสะท้อนถึงพลังงานไฟฟ้าในยุคปัจจุบันจะเข้ามามีอิทธิพลและมีส่วนร่วม กระทั่งกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวที่สะท้อนออกมากให้สัมผัส ไม่เว้นแม้แต่ในนิสสัน ลีฟ ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ด้วยทรวดทรงที่ปราดเปรียวและลงตัวมากที่สุดในเวลาปัจจุบัน
นิสสัน ลีฟ เจนเนอเรชั่นแรกที่ว่าสวยและลงตัวแล้ว แต่เส้นสายจากหัวจรดท้ายก็ยังไม่ไหลลู่และดูปราดเปรียวเท่าโฉมล่าสุด แน่นอนว่ามีเหตุผลจากเรื่องของเซลล์พลังงานไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ อันส่งผลกระทบตรงต่อการออกแบบอย่างช่วยไม่ได้ แต่สำหรับลีฟใหม่นั้นไม่ใช่ ความเทอะทะของเซลล์พลังงานถูกพัฒนาไปแล้ว และหลักอากาศพลศาสตร์ได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างเต็มที่ เมื่อบวกเอกลักษณ์เฉพาะตัวผ่านกระจังหน้า V-Motion ไฟรูปทรงบูมเมอแรง และพื้นผิวของกระจังหน้ากับกันชนหลังเป็นสีฟ้าใส ล้วนแสดงตัวตนของรถไฟฟ้านิสสันอย่างไม่มีข้อกังขา
ขณะที่ภายในออกแบบโดยให้ความสำคัญกับคนขับเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ลืมสร้างบรรยากาศโดยรวมให้รู้สึกผ่อนคลาย พร้อมความหรูหราระดับพรีเมียม แผงด้านหน้ายึดหลัก Gliding Wing เป็นแนวทางหลักในการออกแบบ มีหน้าจอสีแบบ Thin-Film Transistor (TFT) ขนาดใหญ่ถึง 7 นิ้ว ที่เสริมฟีเจอร์หลักๆ อย่างเทคโนโลยี Safty Shield มาตรวัดพลังงาน ฟังก์ชันเสียง และระบบนำทางซึ่งรอบรับ Apple CarPlay
ส่วนขุมพลังนั้นขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า E-Powertrain ล่าสุด ให้กำลัง 110 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุดที่มาทันที 320 นิวตันเมตร ที่สำคัญ คุณจะเพลิดเพลินกับการเดินทางที่ยาวนานขึ้น เพราะสามารถขับขี่ได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน JC08 ของญี่ปุ่น) พร้อมเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติโปรไพลอต (ProPILOT) ให้รถเดินหน้าไปบนช่องการจราจรเดียว โดยไม่ออกนอกลู่นอกทาง รวมถึงระบบโปรไพลอต พาร์ค (ProPILOT Park) ที่จะควบคุมพวงมาลัย คันเร่ง เบรก การเปลี่ยนเกียร์ และเบรกมืออย่างอัตโนมัติ เพื่อให้รถจอดเข้าซองหรือขนานฟุตปาธได้อย่างปลอดภัยและง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น นิสสัน ลีฟใหม่ ยังมาพร้อมกับนวัตกรรม e-Pedal ให้ขับขี่และหยุดทุกการเคลื่อนไหวง่ายๆ ด้วยการเพิ่มหรือลดแรงกดคันเร่ง หากถอนเท้าออกจากคันเร่ง ก็จะทำให้ระบบเบรกทั้งสองระบบคือ เบรกจ่ายพลังงานคืน (Regenerative Brake) กับระบบเบรกปกติทำงานให้รถหยุดนิ่งอย่างอัตโนมัติ ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ หากการหยุดจอดนิ่งเกิดขึ้นบนเนินที่ลาดชัน รถก็จะไม่ขยับเขยื้อนหรือไหลใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าคันเร่งจะถูกกดอีกครั้ง
รถไฟฟ้านิสสัน ลีฟใหม่ จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น วันที่ 2 ตุลาคมนี้ ส่วนในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป จะเปิดตลาดในช่วงเดือนมกราคม 2560 โดยเคาะค่าตัวขายในญี่ปุ่นเริ่มต้นที่ 3,150,360 เยน หรือประมาณ 959,000 บาท แล้วในเมืองไทยล่ะจะมาเมื่อไหร่? ยังไม่มีการให้คำตอบที่แน่ชัดออกมาก นอกจากการส่งสัญญาณจากผู้บริหารนิสสันว่า จะนำนิสสัน ลีฟมาให้คนไทยได้สัมผัสอย่างแน่นอน