Honda CR-V i-DTEC Diesel Turbo
เรื่อง…EDITOR
อะไรที่เตะตาและเตะใจผมที่สุดในครั้งแรกที่รู้จักฮอนด้า ซีอาร์-วี ผมตอบตรงๆ ว่า ชื่นชมกับความเก่งกล้าในการทำเก๋งได้ดีอยู่แล้ว และกล้าเก่งในการทำรถเอสยูวีออกมาด้วยความตั้งใจ คงไม่ต้องชี้ไปตรงผลลัพธ์จากการตอบรับและประสบความสำเร็จ กับทุกๆ เจเนอเรชั่นที่ผ่านมา กระทั่งกลายเป็นที่จับตามองของแฟนคลับและคนทั่วไปที่มีใจอยากยกระดับการขับขี่ของตัวเอง โดยเฉพาะ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ลำดับที่ 5 ล่าสุดจากตระกูลก็เช่นกัน
โฉมใหม่ของซีอาร์-วี สร้างความประหลาดใจอีกครั้ง กับสองทางเลือกของเครื่องยนต์ที่มีทั้งขุมพลังเบนซินและใหม่กับขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งหลายคนไม่รู้มาก่อนว่า ฮอนด้านั้นไม่เพียงพัฒนาเครื่องยนต์เบนซินหรือไฮบริด (เครื่องยนต์บวกมอเตอร์ไฟฟ้า) อย่างที่เห็นจำหน่ายในเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกลไกและเทคนิคเครื่องยนต์ดีเซลมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้น้อยหน้ากว่าพลังงานทางเลือกที่เราชินหูและชินตา
Honda CR-V i-DTEC Diesel Turbo (ชื่อจริงเต็มยศ) ถูกส่งตรงมาถึงมือเพื่อขจัดข้อสงสัยต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นและสะสมอยู่ในใจของผมได้สักระยะหนึ่งแล้ว ทั้ง “เห็นหน้าตาจากภาพแล้ว ตัวจริงจะมีสัดส่วนเป็นอย่างไร?”, “ภายในห้องโดยสารมีการปรับเปลี่ยนหรือล้างภาพเดิมไปหมดเลยหรือเปล่า?” รวมทั้ง “ขุมกำลังจากเครื่องยนต์ดีเซลมันจะตอบสนองดีมั้ย? และเกียร์ไฟฟ้าหน้าตาแปลกๆ น่ะ…เอาเข้าจริงแล้วเป็นมิตรต่อการใช้ง่ายจริงเร้อ?”
ภายนอกใหม่หมดจด ไม่เข้าตาไม่รู้จะว่ายังไง!
“ออกแบบอย่างไรให้รถรุ่นใหม่ มองแล้วรู้เลยทันทีว่า เป็นรถสายตระกูลเดียวกัน?” ผมเชื่อว่า หลายคนคงเบื่อกับประโยคที่ว่า รถยนต์รุ่นใหม่ รถยนต์โฉมใหม่แล้ว เหมือนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย หรือบอกว่า พลิกโฉมแล้วมันไม่ได้เกินคาดหรือต้องอุทานออกมาด้วยคำว่า “ใช่!” โดยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น คุณจะไม่พบกับฮอนด้า ซีอาร์-วีโฉมใหม่ เพราะทุกอย่างล้ำเกินความคิดไปกว่านั้น ด้วยสัดส่วนที่ใหญ่กว่าเดิม หน้าตาดีผิดไปจากเดิม และมองยังไงก็รู้ว่า นี่คือซีอาร์-วี
กระจังหน้าโครเมี่ยมมันวับพร้อมประทับโลโก้อันเบ่อเริ่ม ขับให้เอสยูคันนี้เตะตาด้วยสัดส่วนสอดรับกับโคมไฟคู่หน้าแบบแอลอีดีที่ประกบอยู่ทั้งสองข้าง หลายคนอาจจะชอบลูกเล่นอย่างไฟส่องสว่างเวลากลางวัน แต่สำหรับผมที่ชอบความสวยงามและใช้งานได้จริงแล้ว ชอบไฟตัดหมอกตรงมุมกันชนหน้าด้านล่างแบบแอลอีดี รวมถึงไฟท้ายที่เป็นแนวตั้งประกบไปกับเสาหลังคาคู่หลัง ช่วยเพิ่มความสว่างและเพิ่มทัศนะวิสัยในการเดินทางหรือผู้ขับขี่คันหลังให้เห็นได้ชัด
ที่ชอบเป็นพิเศษคงเป็นล้ออัลลอยลายเฉพาะขนาดใหญ่ถึง 18 นิ้วเลยทีเดียว แต่เมื่อสวมเข้าไปแล้วไม่ได้ล้นทะลักตามสไตล์รถซิ่งชิงกันเร็ว แต่กลับเข้าไปในซุ้มล้ออย่างพอดิบพอดี ให้ความรู้สึกเรียบหรูและซ่อนความดุดันเอาไว้ในที สอดรับกับเสาอากาศวิทยุบนหลังคาแบบครีบฉลาม ขณะที่การปลดล็อคเข้าสู่ห้องโดยสารก็เป็นไปได้ง่าย โดยไม่ต้องกดรีโมทหรือไขกุญแจแบบดึกดำบรรพ์ สมทบด้วยประตูท้ายที่เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ให้สามารถโหลดสัมภาระได้ง่ายและสะดวกสบายย่ิงขึ้น
ภายในสปอร์ตหรู จะขับหล่อหรือเท้าหนักก็ตามใจ!
ตัวถังที่กว้างขึ้นทำให้ห้องโดยสารโอ่โถงจนรู้สึกได้ เบาะแถวที่ 2 และ 3 สามารถปรับพับได้หลายรูปแบบตามความต้องการ ที่สำคัญ เมื่อปรับพับหมดทั้ง 2 แถวแล้วจะราบเป็นพื้นเดียวกัน บนเพดานเหนือเบาะแถว 2 และ 3 มีช่องแอร์แยกส่วนมาให้โดยเฉพาะ รวมทั้งสามารถปรับพนักพิงของเบาะแถว 2 ได้หลายระดับ สร้างความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับการเดินทางไกล
สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าจะสัมผัสได้ถึงการตกแต่งอันหรูหรา ด้วยลายไม้ประดับบนขอบคอนโซลโดยรอบ ตัดกับโทนขรึมสีดำภายในห้องโดยสารอย่างมีระดับแต่ไม่แก่ พวงมาลัยเป็นแบบสามก้านมัลติฟังก์ชัน หน้าปัดหลังพวงมาลัยสามารถปรับได้หลายรูปแบบ ระบบสื่อสารและความบันเทิงนั้นสั่งการผ่านหน้าจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้วบนคอนโซลกลาง ขณะที่ระบบปรับอากาศเป็นแบบอิสระแยกส่วนซ้าย-ขวา
ตำแหน่งของเกียร์อยู่เบี่ยงขึ้นไปบนคอนโซลกลางด้านหน้า แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการบังคับหรือสั่งการใดๆ พร้อมติดตั้งแป้นปรับเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัยมาให้ สำหรับคนที่อยากสนุกกับการปรับจังหวะความแรงและความเร็วด้วยตัวเอง ส่วนหน้าตาเกียร์ไฟฟ้านั้นถูกปฎิวัติใหม่ให้เป็นปุ่มกดปราศจากคันหรือก้านตั้งขึ้นมา เกียร์ถอยหลังและเบรกมือเป็นแบบไฟฟ้าใช้นิ้วดึงงัดเข้าหาตัว
ขับมัน แรงบิดแจ๋ว คอนโทรลง่าย มั่นใจช่วงล่าง
ผมทิ้งตัวลงบนที่นั่ง ปิดประตู และกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ก่อนจะจัดการกับเบาะไฟฟ้าที่ปรับได้มากถึง 8 ทิศทาง สมทบด้วยปุ่มบังคับพนักดันหลังให้กระชับเข้ากับรูปร่างตัวเอง ดึงพวงมาลัยเข้าหาตัวในระยะเหมาะสม พร้อมๆ กับเงยองศาพวงมาลัยขึ้นมาอีกนิดรับองศาของช่วงไหล่และแขน รวมทั้งไม่ลืมปรับกระจกมองหลังและกระจกมองข้างทั้งด้านซ้ายและขวา แล้วจึงปรับความรู้สึกในการเปลี่ยนเกียร์ด้วยการกดปุ่ม D
สิ่งที่ต้องชมอย่างแรกคือ การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารจากการสั่นของเครื่องยนต์ดีเซลดีมาก อย่างที่สอง การสั่นตัวของขุมพลังขณะทำงานไม่ได้ส่งผลมาแสดงออกที่พวงมาลัยเหมือนรถปิคอัพทั่วไป จนเมื่อบังคับรถให้ออกตัวจากหยุดนิ่งนั่นแหละ ถึงรู้ถึงแรงฉุดไปข้างหน้าที่กระโชกโฮกฮากมากกว่าตามสไตล์ของขุมพลังแบบนี้ ส่วนวิธีการแก้ไขให้ออกตัวและไปได้อย่างนุ่มนวลขึ้น ก็แค่ทำความคุ้นเคยกับการกดและถอนคันเร่งอย่างเหมาะสมเท่านั้น
ถึงแม้ว่ารถจะมีขนาดทั้งกว้างและยาวมากขึ้นกว่าเดิม แต่กลับบังคับและควบคุมได้ง่ายจากระบบพวงมาลัยที่พัฒนาให้มีวงเลี้ยวแคบขึ้น ระบบช่วงล่างนุ่มหนึบไม่ยวบยาบและไม่แข็งกระด้างเหมือนรถโฟร์วีลแท้ แต่ให้ความมั่นใจในการขับขี่บนทุกสภาพเส้นทางและความสบายสำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง ขณะที่ระบบปรับอากาศบังคับอิสระแยกส่วนก็ทำหน้าที่ได้เป็นเยี่ยมในลักษณะอากาศเมืองร้อนของบ้านเรา
เดินทางไกลสบายๆ ไม่เหนื่อย และไม่เมื่อยล้า
เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดที่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาทีนั้น นุ่มนวลและไร้รอยต่อหรือสะดุดฉุดกำลังระหว่างเปลี่ยนเกียร์ เรียกง่ายๆ ว่า กดคันเร่งลงไปเมื่อไหร่…พละกำลังเป็นมาเมื่อนั้น พอสมทบด้วยทัศนวิสัยข้างหน้าที่ดีกว่า จากตำแหน่งการนั่งยกระดับของรถเอสยูวี ทำให้มั่นใจในการขับขี่ในย่านความเร็วสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่การขับขี่ในเวลากลางคืนก็เป็นไปอย่างสบายตา ด้วยไฟหน้าแบบแอลอีดีโทนแสงสีขาวนุ่มตา
เพิ่มความปลอดภัยสำหรับการเดินทางขึ้นอีก ด้วยกล้องส่องมองมุมอับด้านซ้ายมือท้ายรถที่ใช้งานได้จริง โดยการแสดงภาพบนจอมอนิเตอร์ตรงคอนโซลกลางเมื่อโยกคันไฟเลี้ยวซ้าย หรือกดปุ่มแสดงภาพทันทีหากไม่มั่นใจว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่หรือเปล่า มีระบบเตือนความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่เมื่อเดินทางไกล หากรถกำลังออกนอกทางไปคร่อมหรือข้ามเลน พวงมาลัยจะสั่นจนผู้ขับรู้สึกเพื่อให้การบังคับควบคุมเป็นไปอย่างถูกต้อง
แม้ระบบส่งกำลังหรือเกียร์จะถูกซอยออกถี่ยิบถึง 9 สปีด แต่คุณไม่ต้องพะวักพะวนเรื่องของกำลังเครื่องยนต์เวลาเร่งแซง เพราะระบบสมองกลจะคำนวนในเสี้ยววินาทีตลอดการขับขี่ หากต้องการฉุดรถไปข้างหน้าอย่างฉุกเฉิน เกียร์จะไม่ไล่ลงทีละสเต็ป แต่จะไล่จาก 9 ลงไป 7 หรือหากยังไม่เพียงพอก็จะดึงจาก 7 ลงไปยัง 5 ทันที ยิ่งไปกว่านั้น การหยุดหรือเบรกก็เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีช่วยเบรกซึ่งติดตั้งมาอย่างครบครัน
Honda CR-V i-DTEC Diesel Turbo มีมาให้เลือกด้วยกันสองรุ่น เริ่มจากรุ่น DT-E สนนราคาค่าตัวอยู่ที่ 1.549 ล้านบาท และรุ่นสูงสุด DT-EL 4WD ซึ่งมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ รวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก อุปกรณ์การตกแต่ง และติดตั้งระบบความปลอดภัยต่างๆ แบบเต็มเหนี่ยว โดยขยับราคาขึ้นไปอีกนิดที่ 1.699 ล้านบาท (ต่างกันแค่หน่อยเดียวเอง) ใครชอบความแรงแบบดุดัน รับประกันว่า จะไม่ผิดหวังกับเอสยูวีขุมพลังดีเซลคันนี้แน่นอน!