ฟอร์ดแนะวิธีแฮงเอาท์กับน้องหมาอย่างไรให้ปลอดภัย
สุนัขเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงคู่ใจของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย อาจจะด้วยอุปนิสัยที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ หน้าตาที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูและลักษณะนิสัยที่ช่วยเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในบ้าน มีหลายครอบครัวที่เลี้ยงน้องหมาโดยไม่ได้มองเขาเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นเสมือนสมาชิกคนหนึ่งของบ้านเ หลายคนคงเคยเห็นภาพคุ้นตาที่น้องหมานั่งอยู่บนเบาะหน้ารถร่วมกับเจ้าของพร้อมเปิดกระจกรับลม หรือน้องหมานั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ที่เรียกเสียงฮือฮาต่อผู้ที่พบเห็นกันจนชินตา แต่ทราบหรือไม่ว่าการปฏิบัติเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้
ฟอร์ด ประเทศไทย ขอนำเสนอเกร็ดความรู้ง่ายๆ พร้อมเคล็ดลับการเลือกรถยนต์ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายด้านสำหรับเหล่าคนรักน้องหมาเพื่อให้ทุกการเดินทางปลอดภัยและรื่นรมย์สำหรับทุกคนซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงเจ้าตูบสี่ขาแสนน่ารักเหล่านี้ด้วย
ข้อควรรู้สำหรับนักเดินทางมือใหม่ เช็คให้ดีเสียก่อนว่าจุดหมายที่คุณกำลังจะมุ่งหน้าไปนั้นอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้ ขั้นตอนต่อไปคือตรวจสอบสภาพร่างกายของน้องหมาให้แน่ใจว่าแข็งแรงพร้อมสำหรับการเดินทางและไม่ได้มีอาการเมารถเป็นประจำ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ รถยนต์ของคุณต้องมีพื้นที่กว้างขวางและมีช่องเก็บสัมภาระเพียงพอสำหรับการขนย้ายอุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆ ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ตเป็นหนึ่งในรถคอมแพคเอสยูวีที่ตอบโจทย์การใช้งานอเนกประสงค์ของผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์เป็นเอกลักษณ์อย่างผู้ที่ชื่นชอบสัตว์เลี้ยงด้วยพื้นที่เก็บของท้ายรถที่มีความจุถึง 705 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังมาชนกับเบาะหน้า ผู้ใช้งานจะมีพื้นที่กว้างพอสำหรับการบรรจุเครื่องซักผ้าหนึ่งเครื่องหรือกรงสุนัขขนาดใหญ่ได้เลยทีเดียว
อุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อการเดินทางที่ราบรื่น ควรมีป้ายชื่อคล้องคอน้องหมาพร้อมระบุเบอร์ผู้ที่ติดต่อฉุกเฉินกรณีเกิดการพลัดหลง เตรียมน้ำ อาหารและยาประจำตัวให้พร้อม อาจลดความประหม่าในการเดินทางได้ด้วยการนำของเล่นชิ้นโปรดหรือผ้าขนหนูที่น้องหมาคุ้นเคยใส่รถไปด้วย สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้เจ้าตูบรู้สึกปลอดภัยและไม่แปลกที่จนเกินไป และอย่าลืมเตรียมถุงเก็บมูลสุนัขและน้ำยาดับกลิ่นให้พร้อม
ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ตมาพร้อมกับพื้นที่เก็บสัมภาระเป็นสัดส่วนมากถึง 20 ช่อง ผู้ใช้งานจึงหมดกังวลเรื่องข้าวของระเกะระกะไม่เป็นระเบียบได้อย่างหายห่วง
ขณะเดินทาง ควรให้น้องหมานั่งอยู่ในที่นั่งหรือเบาะ โดยอาจติดตั้งสายรัดนิรภัยที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกขั้น จำไว้ให้ขึ้นใจว่า แม้คุณจะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้รับการดูแลที่ถูกวิธีขณะเดินทางและแม้จะมีน้ำหนักตัวเพียง 30 กิโลกรัม อาจกลายเป็นจรวดมิสไซล์ขนาดจิ๋วที่มีน้ำหนักมากถึง 1,350 กิโลกรัมได้เมื่อเกิดการชนจากด้านหน้า
ข้อสำคัญอีกประการคือ ห้ามให้น้องหมานั่งตักคนขับหรือแม้กระทั่งบริเวณที่นั่งข้างคนขับเป็นอันขาด ลองจินตนาการภาพผู้ขับขี่ที่มีสุนัขนั่งอยู่บนตัก แม้ว่าสุนัขตัวนั้นจะเชื่องแค่ไหน แต่ไม่มีใครการันตีได้ว่าเขาจะไม่ตกใจหากมีอะไรเกิดขึ้นกะทันหันตรงหน้า ถ้าหากสุนัขลุกหรือกระโดดขึ้นมา ผู้ขับขี่จะไม่อาจบังคับพวงมาลัยได้อย่างปลอดภัย และเหตุการณ์อาจเลวร้ายลงไปอีกหากสุนัขกระโดดหนีลงไปด้านล่างซึ่งจะขัดขวางการควบคุมของเบรคและคันเร่งได้
คนเดินทางยังต้องแวะเข้าปั๊ม สุนัขก็เช่นกัน การเดินทางอันแสนยาวนานเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับทุกคน อย่าลืมว่าสุนัขบอกคุณไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาหิวหรืออยากขับถ่าย ดังนั้นควรจอดพักเพื่อได้ออกมายืดเส้นยืดสายทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และหากมีความจำเป็นต้องแวะซื้อกาแฟหรือข้าวของจิปาถะอื่นๆ ไม่ควรปล่อยสุนัขทิ้งไว้ในรถตามลำพัง ลองนึกสภาพอุณหภูมิภายในรถที่จอดตากแดดเป็นเวลานานและเบาะที่นั่งอันร้อนระอุ น้องหมาของเราคงทนสภาพแบบนั้นไม่ได้เช่นกันแม้ว่าจะเปิดกระจกระบายอากาศไว้ก็ตาม