นิปปอนเพนต์ ดันกรีนโปรดักส์ ตอกย้ำผู้นำตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์
“นิปปอนเพนต์” กลุ่มธุรกิจสีพ่นซ่อมรถยนต์ เผยแนวโน้มตลาดปี 60 โตต่อเนื่อง ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เตรียมทุ่มงบ 80 ล้าน จัดกิจกรรมเข้าถึงผู้ใช้-ช่างสี พร้อมส่งกรีนโปรดักส์ จับมือพันธมิตร และขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน มั่นใจรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์
นายทวีชัย ตังธนาวิรุตม์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด กลุ่มธุรกิจสีพ่นซ่อมรถยนต์ กล่าวว่า นิปปอนเพนต์ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและบริการ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์ สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดที่นำมาใช้จะเน้นใน 3 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจพันธมิตร และการขยายตลาดเพื่อให้ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่นั้น นิปปอนเพนต์ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “แนกซ์ อีคิวบ์ (Nax E3)” ที่สุดแห่งนวัตกรรมสีพ่นรถยนต์สูตรน้ำ เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่จะใช้ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย ภายใต้แนวคิด “E3” คือ Easy-ใช้งานง่าย Exciting-ทำงานได้เร็วเต็มประสิทธิภาพ และ Ecology-ปลอดภัย ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม
“ทุกวันนี้สีสูตรน้ำ (Waterborne) กำลังเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบอุตสาหกรรม OEM และศูนย์ซ่อมสีทั่วโลก เนื่องจากเป็นมิตรต่อผู้ใช้ สามารถกำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยลดปริมาณการปล่อยสารอินทรีย์ไอระเหยสู่บรรยากาศ (VOCs) จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาโลกร้อน โดยผลิตภัณฑ์แนกซ์ อีคิวบ์ ที่นิปปอนเพนต์ได้คิดค้นขึ้นนี้ เป็นสีพ่นสูตรน้ำที่พ่นเสร็จเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา ช่วยลดเวลาการทำงาน ทั้งยังประหยัดค่าไฟ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องผสมสี นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน VOCs ของยุโรปด้วย”
สำหรับแนวทางขยายตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์ นายทวีชัย กล่าวว่า ตลาดในประเทศยังคงใช้การผลักดันผ่านการร่วมมือกับตัวแทนจำหน่าย โดยเน้นในช่องทางที่นิปปอนเพนต์ยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อยอยู่ ทั้งนี้ ได้ตั้งงบประมาณการตลาดไว้ที่ประมาณ 80 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับกิจกรรมต่างๆ ให้เข้าถึงผู้ใช้หรือช่างสีโดยตรง
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับฝีมือช่างพ่นซ่อมสีรถยนต์ไทยสู่สากล ด้วยการริเริ่มโครงการ “Protégé Project” ซึ่งได้ร่วมกับ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมช่าง สีรถยนต์ในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) 12 แห่งทั่วประเทศ
ส่วนตลาดต่างประเทศ ที่ผ่านมาเน้นไปที่ภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก ปีนี้จะเข้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) อย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดกลุ่มนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ขณะเดียวกันก็เริ่มขยายตลาดไปยังทวีปแอฟริกา และออสเตรเลียแล้วด้วย