อาลีบาบา ทำยอดขายกว่า 1.207 แสนล้านหยวน จากมหกรรม “11.11 โกลบอล ช้อปปิ้ง เฟสติวัล”
อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด (NYSE: BABA) เผยว่าบริษัทสามารถทำยอดซื้อขายสินค้ารวมมูลค่ากว่า 1.207 แสนล้านหยวน (1.78 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ)
ผ่านทางช่องทางค้าปลีกของบริษัทสำหรับลูกค้าในประเทศจีนและทั่วโลก และระบบชำระเงินออนไลน์ อาลีเพย์ ในมหกรรม “11.11 โกลบอล ช้อปปิ้ง เฟสติวัล” เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยจากยอดซื้อขายสินค้ารวมทั้งหมดนี้ มียอดซื้อขายผ่านอาลีเพย์บนอุปกรณ์พกพาคิดเป็นอัตราส่วนถึงร้อยละ 82
“มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ในปีนี้ ถือเป็นการเผยโฉมอนาคตของวงการค้าปลีกในยุคหน้า ที่จะผสมผสานทั้งความบันเทิง การค้าขาย และการโต้ตอบกับผู้บริโภคในรูปแบบใหม่ ๆ ให้เกิดเป็นประสบการณ์ที่หลากหลายอย่างลงตัว” แดเนียล จาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าว
“ตลอดในทุกช่วงของการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมช่วงก่อนเริ่มงาน งานกาล่านับถอยหลัง หรือตัวงานมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 24 ชั่วโมงนี้ เราพบว่ามีการติดต่อสื่อสารและโต้ตอบกันระหว่างผู้บริโภคและผู้ขายสินค้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
มหกรรม 11.11 เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงอนาคตในยุคที่ธุรกิจค้าปลีกในโลกออนไลน์และออฟไลน์จะพลิกโฉมจนเกิดเป็นประสบการณ์ช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ สำหรับลูกค้าหลายร้อยล้านคนที่คุ้นเคยและสนใจในเทคโนโลยีโมบายและดิจิทัล”
ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนการเปิดฉากมหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 อย่างเป็นทางการ ณ เวลาเที่ยงคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน อาลีบาบา กรุ๊ป ได้ทำการถ่ายทอดสดงานกาล่านับถอยหลังให้ผู้ชมนับล้านได้ติดตามผ่านทางช่องทางออนไลน์และสมาร์ทโฟน ด้วยแอพ Youku Tudou, Tmall และ Taobao
ทั้งยังมีการถ่ายทอดสดให้ชมกันทั่วประเทศจีนทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเจ้อเจียง ควบคู่ไปกับการแพร่ภาพสดในฮ่องกงและมาเก๊าเป็นครั้งแรก สำหรับงานกาล่านับถอยหลังนี้ จัดขึ้นที่ศูนย์กีฬาเซินเจิ้น ยูนิเวอร์ซิเอด ในเมืองเซินเจิ้น ทางตอนใต้ของประเทศจีน
โดยมีแขกรับเชิญระดับซูเปอร์สตาร์จากทั่วโลกเข้าร่วมงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เดวิด-วิคตอเรีย เบ็คแฮม สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน โคบี ไบรอันท์ และโธมัส มุลเลอร์ เป็นต้น
“ในปีนี้ เราได้สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ชมที่ติดตามการถ่ายทอดสดงานกาล่านับถอยหลังของเรา โดยผู้ชมทุกท่านจะสามารถมีส่วนร่วมกับการแสดงบนเวทีได้แบบสด ๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ” คริส ถัง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวเสริม
“ผู้บริโภคที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่หน้าจอโทรทัศน์สามารถเป็นส่วนหนึ่ง ของการแสดงได้ด้วยการเขย่าหรือจิ้มหน้าจอโทรศัพท์ ทั้งยังสามารถสแกนรหัสโปรโมชั่น พูดคุยกับผู้ชมท่านอื่น หรือเลือกซื้อสินค้าได้โดยตรง จนเกิดเป็นประสบการณ์ความบันเทิงที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน”
หลังจากที่เปิดฉากมหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ไปได้เพียง 5 นาที ยอดซื้อขายสินค้าที่ชำระเงินผ่านทางอาลีเพย์ได้พุ่งสูงขึ้นเกินกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (6.8 พันล้านหยวน) ก่อนที่จะทะยานไปแตะระดับ 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (3.53 หมื่นล้านหยวน) ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง
“ผู้บริโภคชาวจีนได้สั่งซื้อสินค้าในช่วง 1 ชั่วโมงแรกของมหกรรม 11.11 ในปีนี้ คิดเป็นมูลค่ามากกว่ายอดการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงในมหกรรม 11.11 ปี 2556 เสียอีก
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่น่าทึ่งของมหกรรมช้อปปิ้งของเรา โดยระดับความสนใจและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคในครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคชาวจีนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเน้นย้ำให้เห็นว่าการช้อปปิ้งออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของพวกเขา”
มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ในปี 2559 นี้ ถือเป็นมหกรรมช้อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระดับโลก นับตั้งแต่การถือกำเนิดขึ้นของเทศกาล 11.11 ในปี 2552 จึงทำให้ผู้บริโภคชาวจีนสามารถเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลก
ทั้งนี้ มีการซื้อขายสินค้าข้ามประเทศครอบคลุมทั้งสิ้นกว่า 235 ประเทศทั่วโลก โดยที่ราวร้อยละ 37% ของฐานลูกค้าทั้งหมดเลือกสั่งซื้อสินค้าจากแบรนด์หรือผู้ขายจากต่างประเทศ สำหรับประเทศที่มีมูลค่าการขายสินค้าให้ผู้บริโภคจีนสูงสุด ได้แก่ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และเยอรมนี ขณะที่แบรนด์ที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดในแต่ละภูมิภาค มีดังต่อไปนี้:
- แบรนด์จากสหรัฐอเมริกา: แอปเปิล ไนกี้ นิวบาลานซ์ เพลย์บอย สเก็ตเชอร์ส
- แบรนด์จากยุโรป: ซีเมนส์ ฟิลิปส์ อาดิดาส แจ็ค โจนส์ โอนลี่
- แบรนด์จากญี่ปุ่น: ยูนิโคล่ พานาโซนิค ชาร์ป โซนี่ เอสเค-ทู
- แบรนด์จากออสเตรเลีย / นิวซีแลนด์: ยีนส์เวสท์ อักก์ สวิสส์ แมคโคร แบล็คมอร์ส